ฉลามวาฬ ยักษ์ใหญ่ใจดีที่ เกาะเต่า



















รูปภาพฉลามวาฬของทริปดำน้ำที่ เกาะเต่า กับ XSDC ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

ดูภาพแกลอรี่ทั้งหมดได้ที่ลิ้งนี้ :
http://www.xsitediving.com/WhaleShark.asp


By X-SITE : http://www.xsitediving.com/

ถนนหาดทรายรี เกาะเต่า คนเดินแต่มีรถวิ่ง

ถนนริมหาดทรายรี อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตอนขออนุญาตทำทางได้ระบุไว้ว่า ขอทำถนนคนเดิน เป็นถนนกว้างประมาณ 150 ซม. แต่ตอนนี้มีทั้งรถยนต์ รถดูดส้วม และรถมอเตอร์ไซค์วิ่งกันทุกวัน คนที่เดินต้องหลบลงมาเดินข้างทาง

ร้านค้าที่อยู่ริมถนน วันดีคืนดีก็มีรถวิ่งเข้ามาชน ล่าสุดมีมอเตอร์ไซค์ชาวต่างชาติวิ่งเข้าชนร้าน มีเด็กนั่งอยู่ในร้านโดนกระจกบาด ทางร้านได้ร้องเรียนไปที่ อบต. เกาะเต่า ก็ไม่มีใครสนใจ

ตอนนี้ เกาะเต่า เป็นตำบลเล็กๆ มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมาก อยากให้ช่วยดูแลกันด้วย

ภาพ : ดารานักแสดงของประเทศไทยร่วมรณรงค์ทัวร์ปฏิวัติพลังงานสะอาด ที่ เกาะเต่า สุราษฎร์ธานี

ชาว เกาะเต่า


ตอบ
นายอวยชัย ศรีทอง ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เกาะเต่า ชี้แจงว่า ถนนที่หาดทรายรีเป็นถนนตัวหนอน สร้างมาได้ประมาณ 3 ปีแล้ว เป็นถนนหลักที่นักท่องเที่ยวและชาวบ้านใช้สัญจร ไม่ได้มีไว้แค่เป็นถนนคนเดิน รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน วิ่งได้ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาเช่ารถเหล่านี้ ขับขี่รับลม ชมวิว และยังมีรถเก็บขยะของ อบต. ที่ได้รับอนุญาตให้วิ่งบนถนนเส้นนี้ได้ แต่จะห้ามเฉพาะรถยนต์เท่านั้น
การจะร้องเรียนเพื่อให้ปิดถนนใช้เฉพาะ "เดิน" ไม่ให้รถสัญจร ต้องร้องเรียนเป็นลายลักษณ์อักษร และส่งไปที่ อบต. เพื่อนำเรื่องเข้าพิจารณาในที่ประชุมขอความเห็นชอบต่อไป

ปลัดอวยชัย บอกว่า ปิดไม่ได้หรอก ชาวบ้านเดือดร้อน

ลุงแจ่ม

เกาะติดสถานการณ์พายุโซนร้อน"หมุ่ยฟ้า"

อธิบดีกรมอุตุฯหวั่นพายุโซนร้อน "หมุ่ยฟ้า" ทวีกำลังขึ้นเป็นไต้ฝุ่น ขณะที่เมืองคอนสั่งอพยพชาวบ้านนับพันคนในพื้นที่เสี่ยง ส่วนที่สุราษฎร์ฯงดเดินเรื่อเฟอร์รี่แล้ว พร้อมยกเลิกงานฟูลมูนปาร์ตี้ที่เกาะพงันอย่างไม่มีกำหนด เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

นายศุภฤกษ์ ตันศรีรัตนวงศ์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา แถลงเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ พายุโซนร้อน"หมุ่ยฟ้า" มีศูนย์กลางอยู่ในอ่าวไทยห่างจากฝั่งจ.นครศรีธรรมราช 300 กิโลเมตร และจะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่ง ด้าน อ.ขนอม ท่าศาลา และอ.สิชล ในคืนวันนี้ โดยมีความเร็วลมในระดับความรุนแรงใกล้เคียงกับพายุโซนร้อนลินดา ที่เคยถล่มภาคใต้ของไทยเมื่อปี 2540

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ พายุนี้เกือบจะไม่เคลื่อนที่ ซึ่งอาจจะทวีความรุนแรงขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่นได้ และพรุ่งนี้เช้า จะเคลื่อนตัวเข้าสู่ฝั่งอันดามัน ผ่านทาง จ.ระนอง ภูเก็ต และ จ.กระบี่ แต่เนื่องจากจังหวัดเหล่านั้น เป็นแหล่งท่องเที่ยว จึงต้องเตือนเรือนำเที่ยว ห้ามออกจากฝั่งอย่างเด็ดขาด

นางเพ็ญศรี แก้วคุ้มภัย หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ได้สั่งให้ชาวบ้านอพยพออกจากพื้นที่ชายทะเลในพื้นที่ตลอดแนวชายฝั่งทุกอำเภอทั้งหมดแล้ว ซึ่งในแต่ละอำเภอจะมีจุดรวมคนอยู่ ดังนั้นเชื่อว่าความสูญเสียของคนนั้นจะไม่มีเลย

นางเพ็ญศรี กล่าวว่า จากการประเมินสถานการณ์พบว่า ศูนย์กลางของพายุจะเข้าสู่ฝั่งในพื้นที่แนวระหว่างอ.หัวไทรไปจนถึง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าจะขึ้นที่นครศรีธรรมราช และในพื้นที่ชายฝั่งทะเลนั้น พบว่าสภาพน้ำทะเลเริ่มหนุนสูงขึ้นแล้ว
นายอนุวัฒน์ มณวิจิตร นายอำเภอปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ขณะนี้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มพิกัด และได้สั่งให้ทุกโรงเรียนในพื้นที่ อ.ปากพนัง โดยเฉพาะพื้นที่ริมชายฝั่งทะลให้หยุดการเรียนการสอนทั้งหมดและปล่อยให้นักเรียนกลับบ้านทุกคน

ขณะเดียวกัน ในพื้นที่ล่อแหลมที่สุดคือ พื้นที่แหลมตะลุมพุก ล่าสุดได้อพยพทุกครัวเรือนออกจากพื้นที่แล้วโดยให้มาอยู่ในตัวอำเภอชั้นในตามโรงเรียนและศาลาประชาคม

นายประเทือง ทิพย์มาศ นายกสมาคมชาวประมงปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ได้ใช้วิทยุโทรคมนาคมแจ้งเตือนไปยังเรือประมงทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่ออกหาปลาให้รีบกลับเข้าฝั่ง เพื่อความปลอดภัยของลูกเรือ ปรากฏว่า เช้าวันนี้ได้มีเรือประมงเข้าฝั่งแล้วประมาณ 500 ลำ จากจำนวนเรือประมงในพื้นที่ปากพนังประมาณ 1,000 ลำ ส่วนเรือขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างไกลฝั่งต้องใช้เวลาเดินทาง 3 วัน 3 คืน ก็ได้พยายามนำเรือเข้าเทียบท่าหลบพายุตามเกาะต่างๆ
"บางส่วนก็ได้แจ้งมาให้ทราบว่า ได้นำเรือเข้าเทียบที่ชายฝั่งของ จ.ปัตตานี และสงขลาแล้ว คาดว่าเรือประมงอาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะได้มีการแจ้งเตือนให้ระมัดระวังพายุล่วงหน้าแล้ว" นายประเทือง กล่าว

นายประเทือง กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากนั้น ยังมีลูกเรือประมงที่อยู่ห่างไกลชายฝั่งวิทยุมาบอกว่า ได้มีคลื่นใหญ่สูงประมาณ 4 - 5 เมตร ซึ่งเรือเล็กไม่สามารถที่จะต้านทานได้อย่างแน่นอน แต่ไม่น่าเป็นห่วงมากนัก เพราะผลกระทบอาจจะไม่มาก แม้ว่าส่วนหนึ่งจะติดต่อไม่ได้ แต่คาดว่าได้เข้าไปหลบตามเกาะที่ปลอดภัยแล้ว

ด้านนายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ย้ำการเฝ้าระวังในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะ 8 อำเภอ ประกอบด้วย อ.เกาะสมุย เกาะพะงัน ดอนสัก กาญจนดิษฐ์ พุนพิน ท่าฉาง ไชยา และ อ.ท่าชนะ ให้เฝ้าระวังติดตามข่าวสารพยากรณ์อากาศ และติดตามความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องแล้ว

มีรายงานว่า นายธวัชชัย ได้เดินทางไปที่ท่าเทียบเรือเฟอร์รี่ ที่ อ.ดอนสัก เพื่อตรวจสอบการเดินเรือทั้ง 2 ท่าประกอบด้วยท่าเทียบเรือเฟอร์รี่ของบริษัทราชาเฟอร์รี่ จำกัด และบริษัทซีทรานเฟอร์รี่ จำกัด เนื่องจากท่าเทียบเรือดังกล่าวใช้เดินทางไปเกาะสมุยและเกาะพะงัน และด้วยสภาพอากาศที่ยังคงมีคลื่นลมแรง ทั้ง 2 บริษัท จึงประกาศหยุดการเดินเรือเฟอร์รี่ไปเกาะสมุยและเกาะพะงัน ตั้งแต่เวลา 10.00 น.เป็นต้นไป จนกว่าพายุจะผ่านพ้นและกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยก่อนหน้านี้ได้มีนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศได้เดินทางเรือเฟอร์รี่ไปก่อนหน้านี้แล้วเพื่อไปลงที่เกาะสมุยและเกาะพะงันเพื่อต้องการไปเที่ยวงานฟูลมูนปาร์ตี้หาดริ้นเกาะพะงัน ซึ่งตรงกับวันลอยกระทงพอดี

นายธวัชชัย เปิดเผยว่า ได้จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย และโคลนถล่ม ที่ศาลากลางจังหวัด โดยได้จัดเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ ในทุกพื้นที่ ขณะเดียวกันสำหรับการเดินเรือทุกประเภทงดออกจากฝั่งในช่วงนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.เกาะสมุย ได้มอบหมายให้นาย ธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล นายอำเภอเกาะสมุย จัดรถแห่ไปรอบเกาะเพื่อเตือนประชาชนและนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังเรื่องการลงเล่นน้ำ บริเวณชายหาดให้ทำเครื่องหมายเป็นเครื่องหมายสีแดงซึ่งหมายถึงเขตพื้นที่อันตรายห้ามลงเล่นน้ำโดยเด็ดขาด

นายธวัชชัย กล่าวว่า สำหรับเรื่องของนักท่องเที่ยวและประชาชนที่อยู่บนเกาะสมุย แม้ว่าเรือเฟอร์รี่จะไม่วิ่งแต่ก็สามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัยไป ไม่ต้องห่วงในเรื่องของอาหารเพราะสามารถรองรับได้ถึง 1 สัปดาห์ แต่ในส่วนของเกาะพะงัน และ เกาะเต่า มีอาหารรองรับได้ประมาณ 3 วัน ซึ่งหลังจากนั้นหากพายุยังไม่สงบได้ประสานงานกับกองเรือภาคที่ 2 เพื่อลำเลียงอาหารและเตรียมการอพยพประชาชนและนักท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตามสำหรับในส่วนของเกาะพะงัน บริเวณหาดริ้น ซึ่งเป็นสถานที่จัดฟูลมูนปาร์ตี้ ขอเลื่อนการจัดงานไปไม่มีกำหนด เพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย และได้ย้ำเตือนให้นักท่องเที่ยวที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 3,000 - 4,000 คน ให้ระมัดระวังเรื่องของการลงเล่นน้ำ ส่วนในพื้นที่เกาะเต่า ที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศติดเกาะและไม่ต้องการที่จะเดินทางกลับประมาณ 500 คน ประชากร 1,000 คน เจ้าหน้าที่ของรัฐและพนักงานตามสถานประกอบการต่าง ๆ ประมาณ 1,000 คน ทุกคนได้อยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว

ด้านนายชูศักดิ์ วังสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัทราชาเฟอร์รี่ จำกัด กล่าวว่า ในส่วนของบริษัทราชาเฟอร์รี่ ได้งดการเดินเรือหลังเวลา 10.00 น.เป็นต้นไป โดยในช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 06.30 น. - 10.00 น.เรือเฟอร์รี่ได้เดินทางไปเกาะสมุย เป็นปกติ จำนวน 5 เที่ยว ส่วนใหญ่เป็นรถบรรทุกที่ข้ามฟาก เพื่อลำเลียงอาหารและน้ำมันลงไปในพื้นที่เกาะสมุย และประชาชนในเกาะสมุย ส่วนนักท่องเที่ยวเดินทางลงไปค่อนข้างน้อย และสำหรับเกาะพะงัน อนุญาตให้เรือเฟอร์รี่ข้ามฟากเพียงเที่ยวเดียวคือเที่ยวเวลา 10.00 น.เท่านั้น และส่วนใหญ่เป็นการลำเลียงอาหารและน้ำมันเช่นเดียวกัน ทั้งนี้สำหรับเที่ยวอื่น ๆ คงระงับการเดินเรือไม่มีกำหนด

นายแสนยา ดวงมณี นายสถานีเดินรถ ( บขส.) สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า สำหรับในส่วนของการลำเลียงนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากเกาะสมุย ,พะงัน ทาง บขส.สุราษฎร์ธานีได้จัดเตรียมรถไว้บริการจำนวน 7 คัน โดยเป็นรถร่วม 3 คัน รถ บขส. 4 คัน เพื่อบริการนักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะเดินทางกลับ
ด้านศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก ออกประกาศฉบับที่ 2 เรื่องพายุโซนร้อน “หมุ่ยฟ้า” ว่า เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 25 พ.ย.2547 พายุโซนร้อน “หมุ่ยฟ้า” มีศูนย์กลางอยู่ในอ่าวไทย ประมาณแลตติจูด 8.5 องศาเหนือ ลองจิจูด 103.8 องศาตะวันออก ความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวไปทางตะวันตก ด้วยความเร็วประมาณ 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

กรมอุตุฯคาดว่า พายุนี้จะเคลื่อนตัวผ่านภาคใต้บริเวณระหว่าง อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช กับ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ประมาณหลังเวลา 24.00 น. วันที่ 25 พ.ย. นี้ ซึ่งจะทำให้มีลมพัดแรง และฝนตกหนักถึงหนักมาก ในบริเวณตั้งแต่ จ.ชุมพร ลงมาถึง จ.สงขลา โดยจะเริ่มมีฝนตกในวันนี้ (25 พ.ย.47) ตั้งแต่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เรื่อยลงมาถึง จ.สงขลา อาจทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากขึ้นได้

พร้อมเตือนว่า เฉพาะคืนวันที่ 25 พ.ย. ถึงวันที่ 26 พ.ย. ขอให้ประชาชนที่อยู่บริเวณชายฝั่งใน จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.นครศรีธรรมราช ให้ระมัดระวังและหลีกเลี่ยงอันตราย และความเสียหายจากพายุลมแรง ฝนตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก จะติดตามและรายงานให้ทราบเป็นระยะๆ
ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทย บริเวณใกล้ศูนย์กลางพายุในรัศมี 200 กิโลเมตร จะมีคลื่นลมแรงจัด ความเร็วลมประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความสูงของคลื่นประมาณ 5 เมตร ซึ่งเป็นอันตรายต่อการเดินเรืออย่างยิ่ง ควรหลีกเลี่ยงเข้าใกล้บริเวณพายุ และติดตามข่าวพยากรณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

นายต่อศักดิ์ วานิชขจร ผู้อำนวยการ ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก กล่าวว่า ขณะนี้ได้ออกประกาศให้เรือทุกชนิดงดออกจากฝั่ง และเตือนไปยังชาวประมง หากไม่เชื่อฟังออกเรือไปทำประมงอีก ทางราชการจะไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆ ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในเวลา 14.00 น. วันนี้ (25 พ.ย.) ที่ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก อ.เมือง จ.สงขลา นายสุเทพ โกมลภรณ์ รองผู้ว่าราชการสงขลา จะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาประชุมฉุกเฉินรับฟังสถานการณ์ของพายุ "หมุ่ยฟ้า" และเตรียมการรับมือต่อไป

เผยดอกไม้สีทองสัตหีบเป็นปะการังชนิดอ่อน

อธิบดีกรมประมง-นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล ประสานเสียงระบุดอกไม้สีทองบนชายหาดสัตหีบ เป็นปะการังอ่อนชนิดหนึ่ง สกุลซาโคไฟตอน ไม่ใช่ดอกไม้ทะเล ไม่มีอันตรายเมื่อถูกหรือสัมผัส และไม่เป็นปรากฏการณ์แปลกใหม่

(3มิ.ย.) นายจรัลธาดา กรรณสูต อธิบดีกรมประมง กล่าวถึงกรณีพบดอกไม้สีทองบนชายหาดที่สัตหีบ จ.ชลบุรี ว่า จากการตรวจสอบเป็นปะการังอ่อน (Solf Coral) ชนิดหนึ่ง สกุลซาโคไฟตอน เดิมอยู่ในทะเล มีสีน้ำตาล แต่คาดว่าอาจได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิน้ำทะเลสูงเกินไป หรือท้องฟ้าปิด ไม่ได้รับแสงแดดติดต่อกันหลายวัน ทำให้ปะการังตายและคลายสีในตัวเองจนซีดเป็นสีเหลือง ถูกคลื่นพัดเข้าชายฝั่ง

"ปกติแล้วพบมากในหลายพื้นที่ของไทย เช่น สัตหีบ เกาะง่าม เกาะเต่า เป็นต้น การสัมผัสปะการังชนิดนี้ไม่มีอันตราย แต่การนำไปครอบครองเป็นของตนเองมีโทษทางกฎหมาย ไม่ว่าปะการังจะเป็นซากปะการังก็ตาม ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้รับผิดชอบ" อธิบดีกรมประมง กล่าว

ด้าน ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงดอกไม้สีทองที่พบในพื้นที่ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ว่า เป็นปะการังอ่อน สกุลซาโคไฟตอน หรือที่มักเรียกกันว่า ปะการังอ่อนหนัง หรือดอกกะหล่ำ ปะการังอ่อนเป็นสัตว์ ไม่ใช่ดอกไม้ทะเล เป็นกลุ่มใกล้เคียงกับปะการังแข็ง

ปะการังอ่อนในไทยพบได้หลายสกุล ทั้งน้ำลึก น้ำตื้น ส่วนใหญ่พบในน้ำลึก มีสีสวยงาม แต่ที่สัตหีบนี้เป็นการพบในน้ำตื้น ปะการังอ่อนขึ้นเร็ว เจริญเติบโตเร็ว แต่ค่อนข้างไวต่อสิ่งแวดล้อม บางครั้ง 6 เดือนโผล่มามาก บางครั้งก็ไม่มีเลย
“ไม่เป็นปรากฏการณ์แปลกใหม่อะไร ที่ชุมพรสมัยก่อนก็มีเต็มเลย แต่อย่างน้อยหากไม่เคยพบในพื้นที่สัตหีบมาก่อนแล้วเพิ่งพบ ก็บอกได้ว่าสภาพทางทะเลแถวนั้นดีขึ้น โดยอุณหภูมิน้ำหรือคุณภาพน้ำมีเปลี่ยนแปลง ซึ่งปะการังอ่อนไม่มีอันตรายและไม่มีพิษอะไร ดังนั้น ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ผู้สนใจไปศึกษาได้” ดร.ธรณ์ กล่าว

อันดามันวิกฤติแล้ง สภาพเหลือแค่น้ำหยด

"สึนามิ" ทำอันดามันเจอภัยแล้งหนัก เหตุแหล่งกักเก็บน้ำสำรองเสียหายยับจากฤทธิ์สึนามิ โดยเฉพาะ อ.ท้ายเหมือง ส่วนภูเก็ต คาดมีน้ำใช้อีกแค่ 3 เดือน หากฝนไม่ตกต้องขอทำฝนเทียมแล้ว ส่วนชาวสวนเงาะสุราษฎร์ฯ วิกฤติ สวนผลไม้เริ่มเสียหายแล้ว 200 ไร่ แต่ผู้ว่าฯ ระบุยังไม่พบพื้นที่วิกฤติหนัก ส่วนชาวขอนแก่นเจอภัยแล้ง โชคดีพระบริจาคเงินซื้อน้ำแจก

นอกจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในวันที่ 26 ธันวาคม 2547 แล้ว ผลกระทบจากคลื่นยักษ์สึนามิ ก็ยังขยายผลให้จังหวัดชายฝั่งอันดามันที่เจอคลื่นยักษ์ กำลังประสบปัญหาภัยแล้งต่ออีกครั้ง

นายเกียรติศักดิ์ ตันทสันติสกุล ผอ.สำนักชลประทานที่ 15 ซึ่งดูแลพื้นที่ภาคใต้ตอนบน เปิดเผยเรื่องนี้ว่า ปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงหน้าแล้งปีนี้ มีแนวโน้มรุนแรงกว่าทุกปีที่ผ่านมา รวมถึงปริมาณน้ำฝนที่เก็บในแหล่งน้ำสำรองก็มีน้อย เพราะกักเก็บน้ำฝนได้เพียง 70% ของแหล่งกักเก็บน้ำสำรองที่มี จึงจำเป็นจะต้องปรับแผนการทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ที่ขาดแคลนอย่างเร่งด่วน

ในส่วนของจังหวัดฝั่งอันดามันที่ได้รับผลพวงจากคลื่นยักษ์สึนามินั้น นายเกียรติศักดิ์ กล่าวว่า คลื่นยักษ์ทำให้แหล่งน้ำธรรมชาติที่อยู่ใกล้ชายทะเลเสียหาย ทำให้มีปัญหาเรื่องน้ำอุปโภคสำหรับหน้าแล้งปีนี้ โดยเฉพาะที่ จ.พังงา ซึ่งแหล่งกักเก็บน้ำตามธรรมชาติได้รับความเสียหายอย่างหนัก จึงต้องส่งเจ้าหน้าที่ออกไปสูบน้ำทะเลในบ่อ รวมถึงดูดโคลนที่อยู่ภายในแหล่งน้ำ เพื่อระดมกักเก็บน้ำไว้ใช้ในเดือนมีนาคมนี้

"ที่พังงาตอนนี้ พบว่าน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติจากภูเขาที่เคยนำมาใช้ เหลือเพียงน้ำหยดเท่านั้น ในขณะที่โครงการขุดบ่อน้ำบาดาลใหม่ และพัฒนาบ่อน้ำบาดาลเดิมที่ได้รับความเสียหายจากคลื่นยักษ์สึนามิก็ต้องเร่งให้ทัน แต่ต้องรองบประมาณกลางปี ทำให้การช่วยเหลือบางส่วนต้องพึ่งพาโครงการชลประทานขนาดเล็กในพื้นที่ โดยต่อท่อส่งน้ำไปยังเขตชุมชนชั่วคราวที่ชาวบ้านผู้ประสบภัยสึนามิอาศัยอยู่ไปก่อน" ผอ.สำนักชลประทานที่ 15 กล่าว

เร่งแก้ปัญหาท้ายเหมือง

นายเกียรติศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในพื้นที่ อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ถือเป็นจุดที่จะต้องเร่งเข้าไปดูแลและช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เนื่องจากคลื่นยักษ์สึนามิทำลายแหล่งน้ำธรรมชาติจนเสียหายหนัก รวมถึงพื้นที่ประกอบการของภาคธุรกิจเอกชนที่กำลังเร่งก่อสร้างใหม่ ซึ่งจำเป็นต้องใช้น้ำอย่างมาก จึงต้องระดมขุดและล้างบ่อเก็บน้ำที่ถูกซากปรักหักพังจากเหตุการณ์ดังกล่าวให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เพื่อสามารถสำรองน้ำไว้ใช้ในช่วงหน้าแล้งได้

ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ภูเก็ต หรือเกาะสมุย ฝั่งอ่าวไทยนั้น ผอ.สำนักชลประทานที่ 15 กล่าวว่า มีปัญหาไม่น้อย สำนักงานจึงได้ประสานหน่วยงานในพื้นที่เพื่อขนส่งและลำเลียงน้ำจากชลประทานขนาดเล็กเข้าไปช่วยเหลือ รวมถึงการขุดบ่อบาดาล หรือสร้างสถานที่กักเก็บน้ำสำรอง แต่ติดปัญหาคือบางพื้นที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเป็นสถานที่ราชพัสดุ หรือเส้นทางต่อท่อส่งน้ำวางผ่านที่ดินผู้มีเจ้าของทำให้การดำเนินการล่าช้าออกไปมาก

ต้องลดพื้นที่นาปรัง

จากปัญหาดังกล่าว นายเกียรติศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ใน จ.นครศรีธรรมราช และใกล้เคียง ต้องดึงน้ำจากลุ่มน้ำปากพนังส่งไปยังพื้นที่ทำการเกษตรของเกษตรกรและชาวบ้าน โดยปริมาณระดับน้ำในเขื่อนลดลงทุกวัน แต่มั่นใจว่าจะเพียงพอรองรับไปจนกระทั่งสิ้นสุดหน้าร้อนปีนี้ เป็นห่วงพื้นที่อื่นมากกว่า จึงจำเป็นต้องมีการเตรียมน้ำสำรองเพื่อช่วยเหลือล่วงหน้า เพราะหากรอรับจากเขื่อนปากพนังอย่างเดียวคงไม่เพียงพออย่างแน่นอน

"เราจำเป็นต้องประกาศเตือนให้เกษตรกรชาวนาทราบ เพื่อลดพื้นที่ทำนาปรังให้เหลืออยู่ในอัตราที่ปริมาณน้ำสำรองที่มีอยู่รองรับได้ หากไม่ควบคุมปัญหาจะเกิดขึ้นกับเกษตรกรเหล่านี้ คือไม่มีปริมาณน้ำเพียงพอที่จะทำนาอย่างแน่นอน" ผอ.สำนักชลประทานที่ 15 กล่าว

คาดอีก 3 เดือนภูเก็ตวิกฤติ

นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร รองผู้ว่าฯ ภูเก็ต เปิดเผยว่า ปัญหาภัยแล้งใน จ.ภูเก็ต ขณะนี้ น้ำที่มีอยู่ในเขื่อนบางวาด ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บน้ำที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัด มีน้ำเพียงพอใช้ไปอีกประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งหมายถึงหากฝนไม่ตกลงมาก็จะมีปัญหาอย่างแน่นอน แต่จังหวัดได้เตรียมการรับมือไว้แล้ว โดยจะทำเรื่องขอทำฝนเทียม

"เรื่องขอฝนเทียม อาจจะติดขัดในเรื่องหลักเกณฑ์บ้าง เพราะภูเก็ตไม่มีพื้นที่ในการทำเกษตร ดังนั้นจะใช้เงื่อนไขการเป็นเมืองท่องเที่ยว เพราะหากน้ำไม่เพียงพอก็จะมีผลกระทบกับการประกอบการและประชาชน รวมทั้งจะเร่งรัดในเรื่องของการจัดสร้างอ่างเก็บน้ำคลองกะทะ อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อจะได้นำน้ำมาใช้ได้" รองผู้ว่าฯ ภูเก็ต กล่าว

เกาะท่องเที่ยวสตูลขาดแคลนน้ำ

นายกฤชชัย หอพิสุจพิสาร ผู้ใหญ่บ้านเกาะหลีเป๊ะ หมู่ 7 ต.เกาะสาหร่าย อ.เมือง จ.สตูล เปิดเผยว่า หลายพื้นที่ในจังหวัดกำลังเจอปัญหาแล้ง จึงเรียกร้องให้ทางการเข้ามาช่วยเหลือวิกฤติภัยแล้งอย่างจริงจังกว่านี้ เพราะที่ผ่านมายังฉาบฉวยอยู่ โดยเฉพาะที่เกาะหลีเป๊ะ พบว่ากำลังประสบภัยแล้งอย่างหนัก รวมทั้งเกิดไฟไหม้หลายครั้ง ขณะที่ชาวเลและประชาชนบนเกาะก็ไม่มีภาชนะเก็บกักน้ำที่ทางราชการหรือทหารเรือนำไปแจก เช่นเดียวกับที่เกาะอาดัง ซึ่งมีน้ำเพียงพอ แต่ไม่มีภาชนะบรรจุเช่นกัน

"ปัญหาขณะนี้ คือช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาบนเกาะหลีเป๊ะวันละไม่ต่ำกว่า 1,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศ ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำอย่างหนัก แม้ว่าทางทหารเรือจะเข้ามาช่วยเหลือทันที หากมีการร้องขอจากชาวเกาะหลีเป๊ะ แต่ก็เหมือนกับปีที่แล้ว เพราะเมื่อทหารเรือได้เข้ามาช่วยเหลือ แต่กลับไม่นำภาชนะเก็บน้ำมาให้" ผู้ใหญ่บ้านเกาะหลีเป๊ะ กล่าว

ส่วนแผนแก้ปัญหานั้น ในงบประมาณปี 2548-2549 อบต.เกาะสาหร่าย ได้ส่งแผนขอผลิตประปาไป โดยเสนอของบประมาณ 5,000,000 บาท ซึ่งหากจังหวัดและอำเภอต้องการช่วยเหลือชาวเกาะหลีเป๊ะก็ควรจะเร่งอนุมัติประปาลงเกาะหลีเป๊ะเป็นการเร่งด่วน เพื่อไม่ให้ประสบภัยแล้งซ้ำซากต่อไป

สุราษฎร์ฯ วิกฤติหนัก

ส่วนที่ จ.สุราษฎร์ธานีผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝนทิ้งช่วงทำให้พื้นที่สวนผลไม้หลายแห่งเริ่มขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะที่ อ.บ้านนาสาร มีสวนผลไม้ได้รับความเสียหายแล้ว 200 ไร่ ทั้งสวนส้มโชกุน สวนเงาะ สวนทุเรียน และสวนมังคุด

นางกาญจน์ณิชา พัฒน์จร ชาวสวนเงาะ อ.บ้านนาสาร กล่าวว่า ปีนี้อากาศร้อนจัด เนื่องจากฝนทิ้งช่วงนาน และแหล่งน้ำที่มีอยู่ส่วนใหญ่เป็นบ่อน้ำตื้นที่อาศัยน้ำจากคลองฉวางเพื่อปลูกสวนผลไม้ ซึ่งขณะนี้ตนต้องอาศัยน้ำจากบ่อน้ำตื้นและลำคลองใกล้บ้านมารดน้ำสวนผลไม้ จึงยังไม่มีปัญหามากนัก แต่ที่หวาดหวั่น คือในเดือนเมษายน หากฝนยังไม่ตกกลัวภัยแล้งจะรุนแรง

นายธานี เทือกสุบรรณ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ได้ให้ความช่วยเหลือเกษตรกร โดยเทศบาลเมืองบ้านนาสารขอความช่วยเหลือรถบรรทุกน้ำไปช่วยเหลือประชาชนตามชุมชนต่างๆ บางส่วน เช่น ชุมชนวงล้อ ชุมชนทองหลาง ชุมชนคลองหา และชุมชนห้วยมุด ซึ่งมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 200 ครอบครัว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าชาวอำเภอบ้านนาสารได้รับความเดือดร้อนมากสุดในขณะนี้ เนื่องจากแหล่งน้ำสำคัญคือ คลองฉวาง และคลองสายเล็กๆ ที่แยกออกไปอีกหลายสายน้ำเริ่มแห้งขอด โดยประชาชนร่วมกับเทศบาลเมืองบ้านนาสาร ต้องจัดทำฝายกั้นน้ำทั้งหมด 8 จุด เพื่อจะได้นำเครื่องสูบน้ำมาสูบน้ำจากคลองฉวางนำไปรดน้ำตามสวนผลไม้ต่างๆ ของเกษตรกร

ผู้ว่าฯ ปากแข็งไม่วิกฤติ

ส่วนนายวิจิตร วิชัยสาร ผู้ว่าฯ สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ปัญหาภัยแล้งในจังหวัดยังไม่มีพื้นที่ใดที่วิกฤติมากนัก โดยได้มอบหมายให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสุราษฎร์ธานี ไปสำรวจพื้นที่ความเสียหาย โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า ซึ่งภาครัฐและผู้ประกอบการได้จัดเตรียมน้ำสำหรับบริการประชาชนไว้เบื้องต้นแล้ว

"หากฉุกเฉินจริงๆ คงต้องมีการสำรองน้ำจากฝั่งบนบกเข้าไปให้การช่วยเหลือ ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาวได้เตรียมวางแผนไว้แล้วเช่นกัน ทั้งในส่วนของการจัดหาสถานที่เก็บกักน้ำดิบ ปรับปรุงระบบชลประทานต่างๆ ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อรองรับการท่องเที่ยว โดยมองว่าเป็นปัญหาเดิมๆ ที่ซ้ำซาก ขณะนี้ทางจังหวัดได้พยายามที่จะช่วยเหลือวางแผลในระยะยาวให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด" ผู้ว่าฯ สุราษฎร์ธานี กล่าว
พระควักเงินวัดซื้อน้ำแจกชาวบ้าน

นายนันท์ ชึดนอก ผู้ใหญ่บ้านบ้านบก หมู่ 7 ต.หนองสองห้อง อ.หนองสองห้อง จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ขณะนี้ประปาหมู่บ้านที่กรมอนามัยสนับสนุนงบประมาณสร้างขึ้นมูลค่ากว่า 7 ล้านบาท ได้หยุดดำเนินการมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม เนื่องจากแหล่งน้ำดิบที่ได้จากหนองมะเฟืองมีปริมาณน้ำลดลงเกินกว่าที่จะสูบขึ้นมาใช้ได้ ทำให้ชาวบ้านต้องไปอาศัยแหล่งน้ำจากหนองน้ำอื่น ซึ่งค่อนข้างจะเหลือน้อยและเป็นขุ่นตม
ผลจากภัยแล้งที่ไม่มีน้ำประปาใช้ นายนันท์ กล่าวว่า พระอาจารย์บุญโฮม เจ้าอาวาสวัดบ้านบกประชาร่วมจิต ซึ่งเป็นพระสงฆ์เพียงรูปเดียวของหมู่บ้าน ได้บริจาคเงินซื้อน้ำประปาจากบ่อบาดาลของหมู่บ้านโคกล่าม ที่อยู่ห่างไปประมาณ 500 เมตร และวางท่อข้ามทุ่งนามายังถังน้ำของวัดเพื่อแบ่งปันให้ชาวบ้านบกได้ใช้

ร้องรัฐบาลหาแหล่งน้ำด่วน

ที่ จ.เชียงใหม่ นายองอาจ กิตติคุณชัย กรรมการผู้จัดการบริษัท เคซี เชียงใหม่อุตสาหกรรมอาหาร จำกัด ในฐานะรองประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ปัญหาภัยแล้งในภาคเหนือได้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแปรรูปทางการเกษตร โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกข้าวโพดอ่อน ซึ่งบริษัทเข้าไปส่งเสริมปลูกพืชครบวงจร กำลังประสบกับปัญหาภาวะขาดแคลนน้ำอย่างหนัก และมีความเป็นไปได้ว่าจะส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิตข้าวโพดกระป๋องแปรรูปอย่างหนักภายใน 1-2 เดือนข้างหน้านี้
"ในฐานะตัวแทนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแปรรูปรายใหญ่รายหนึ่งของภาคเหนือ ผมอยากให้รัฐบาลได้เร่งเข้ามาให้การช่วยเหลือจัดหาแหล่งน้ำบาดาลใหม่ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดในเขตพื้นที่ตั้งแต่ภาคเหนือตอนล่างขึ้นมาจนถึงภาคเหนือตอนบนเร่งด่วน เพราะเป็นแหล่งเพาะปลูกหลักที่ป้อนวัตถุดิบให้กับโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปทางการเกษตร โดยบริษัทมีมูลค่าการจัดส่งข้าวโพดกระป๋องไปจำหน่ายยังกลุ่มประเทศยุโรปปีละกว่า 300 ล้านบาท" นายองอาจ กล่าว

ผู้ว่าฯ จวก ขรก.ไม่จริงใจแก้ไขปัญหาภัยแล้ง

เมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 28 กุมภาพันธ์ นายปรีชา บุตรศรี ผู้ว่าฯ อุตรดิตถ์ ได้เป็นประธานการประชุมประจำเดือนคณะกรรมการและหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ที่ห้องประชุมศิลาอาสน์ ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัด โดยนายปรีชาแจ้งให้ทราบได้แจ้งถึงสถานการณ์ภัยแล้งของจังหวัด โดยเฉพาะใน อ.พิชัย ซึ่งพื้นที่การเกษตรเสียกว่า 6 ล้านบาท และที่ ต.ข่อยสูง อ.ตรอน ซึ่งเกษตรกรที่อยู่นอกเขตชลประทานต้องประสบปัญหาขาดน้ำเพื่อการเกษตรถึงขั้นแย่งน้ำ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นอยากให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นชลประทานจังหวัด เกษตรจังหวัด เขื่อนสิริกิติ์ ให้ประสานนายอำเภอในพื้นที่เข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านเป็นการด่วน

"การทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งจะได้ผลต้องมีการพูดคุยกัน ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างทำงานและให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะการรณรงค์ให้ลดพื้นที่ทำนาปรัง ส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อย ที่ทุกวันนี้ยังไม่สามารถทำได้ ชาวบ้านยังคงเพิ่มพื้นที่ทำนาปรังเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเกิดปัญหาการแย่งน้ำ ทั้งนี้การรณรงค์ต้องทำก่อน ไม่ใช่แล้งแล้วค่อยดำเนินการซึ่งหากในช่วงทำนาปรังรอบ 2 ยังไม่สามารถให้เกษตรกรงดทำนาได้จะเกิดปัญหาไม่มีน้ำ" ผู้ว่าฯ อุตรดิตถ์ กล่าว

โชเฟอร์เรือสปีดโบ๊ทโผล่มอบตัวอ้างสุดวิสัย

คนขับเรือสปีดโบ๊ทมอบตัว แจงหตุสุดวิสัยสายไฮโดรลิกเรือขาด บังคับเรือเลี้ยวไม่ได้ เมื่อขับมาเร็ว เรือเอียงจนพลิกคว่ำ มีหวังเจอข้อหาเพิ่ม หลังพบใบอนุญาตขับเรือหมดอายุ ส่วนการค้นหาวันที่สองเจอศพสาวเมืองอุบลฯอีกราย

กรณีเรือสปีดโบ๊ทล่มกลางทะเล ห่างจากท่าเทียบเรือนำเที่ยวหาดบ่อผุด หรืออ่าวบางรักษ์ เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายราย ล่าสุดเวลา 09.30 น. วันที่ 26 มกราคม พ.ต.อ.บัณฑิต ตุงคเศรณี ผกก.3 กองตำรวจน้ำจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้นำตัวนายสำราญ รุ่งเรือง คนขับเรือ เข้ามอบตัวกับตำรวจ สภ.อ.เกาะสมุย หลังจากหลบหนีไปอาศัยอยู่ที่บ้านญาติ จากนั้นได้นำตัวนายสำราญไปพบนายวิจิตร วิชัยสาร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี

นายสำราญให้การว่า ได้รับนักท่องเที่ยวมาจากท่าเรือหาดริ้นกว่า 30 คน เมื่อถึงที่เกิดเหตุสายไฮโดรลิกของเรือขาด ทำให้ไม่สามารถควบคุมการเลี้ยวเรือได้ เพราะเรือแล่นมาด้วยความเร็วสูง ตัวเรือเอียงมาทางด้านขวา และนักท่องเที่ยวได้ลื่นไถลมารวมกัน เรือเสียหลักจึงพลิกคว่ำจมลงทันที

แต่หลังจากนั้น นายวิจิตร ได้แถลงข่าวว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบมีผู้โดยสารมากับเรือทั้งหมด 47 คน ช่วยเหลือมาได้ 25 คน เสียชีวิต 8 คน สูญหาย 14 คน ตัวเลขนี้อาจจะเกิดคลาดเคลื่อนได้ เพราะอาจมีการแจ้งรายชื่อซ้ำบ้าง แต่ได้แก้ไขไปแล้ว ส่วนคนขับเรือนั้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหากระทำการขับเรือโดยประมาท ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตและบาดเจ็บ ขณะนี้กำลังสอบปากคำเพิ่มเติมและควบคุมตัวที่ สภ.อ.เกาะสมุย

นายวิจิตร กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการด้านการรักษาความปลอดภัยนั้น ทางจังหวัดต้องดำเนินการอย่างจริงจัง และกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จะไม่มีการอะลุ้มอล่วยอย่างเด็ดขาด หลังจากนี้จะหารือกันอีกครั้งหนึ่ง

ด้านนายสมศักดิ์ สุขสม เจ้าของเรือ กล่าวว่า เรือลำเกิดเหตุได้ทำประกันภัยไว้ครบทุกอย่าง และยินดีรับผิดชอบให้ความช่วยเหลือกับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตทั้งหมด

ระดมหาศพวันที่สองเจออีก 1

นายวิจิตร ได้ให้เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยพร้อมขอความร่วมมือจากกลุ่มเรือประมง ร่วมกันออกค้นหาผู้สูญหายเป็นวันที่สอง โดยวางแผนค้นหาเป็นวงกลม ขยายออกเป็นวงกว้างทั้งในพื้นที่เกาะสมุยและเกาะพะงัน ตามกระแสทิศทางของน้ำทะเล ขณะทางอากาศใช้เฮลิคอปเตอร์ จากหน่วยบินสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบิน 7 และจากกองเรือภาคที่ 2 จ.สงขลา ทั้งหมด 3 ลำ ซึ่งกองเรือภาคที่ 2 จ.สงขลา ส่งกำลังกว่า 100 นาย และเรือหลวงพระทองออกลาดตระเวนค้นหารอบนอก ขณะที่เรือ ต.17 ค้นหารอบใน ทีมมนุษย์กบลงดำหาศพคาดว่าจะติดอยู่ใต้ทะเล

ขณะที่ตำรวจน้ำได้นำเรือตำรวจน้ำ 433 พร้อมเจ้าหน้าที่กว่า 10 นาย และหน่วยกู้ภัยเกาะสมุย เรือของสมาคมนักกีฬาทางน้ำเกาะสมุย เข้าไปตรวจสอบจุดเรือล่มอีกครั้ง ส่วนสมาคมประมงสุราษฎร์ธานีส่งเรือลากคู่ลงอวนลากค้นหาในพื้นที่เป้าหมาย และส่งนักประดาน้ำดำน้ำลงตรวจสอบด้วย
อำเภอเกาะสมุยได้จัดตั้งศูนย์รับแจ้งและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเรือล่มที่ท่าเรือซีบรีซ พร้อมกับนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาจัดแยกประเภทรายชื่อผู้เสียชีวิตและผู้สูญหาย ทั้งนี้สถานทูตสวีเดนและกลุ่มประเทศในยุโรปได้ส่งเจ้าหน้าที่ประมาณ 20 คน มาตรวจสอบหานักท่องเที่ยวที่ประสบเหตุด้วย โดยมีสื่อมวลชนจากต่างประเทศมาทำข่าวที่เกาะสมุยจำนวนมาก

กระทั่งเวลา 15.30 น. เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยเกาะสมุยได้พบศพอีก 1 ราย ทราบชื่อคือ น.ส.ปรารถนา สองเมือง จาก จ.อุบลราชธานี โดยลอยมาติดอวนลากของชาวประมงที่ช่วยค้นหา สภาพศพเริ่มส่งกลิ่นเหม็น ตามร่างกายมีร่องรอยบาดแผลจากการถูกกระแทกของแข็ง

พฐ.สรุปบรรทุกน้ำหนักเกิน

ตำรวจจากกองพิสูจน์หลักฐาน กองกำกับการวิทยาการ เขต 10 สุราษฎร์ธานี ได้เข้าตรวจสอบสภาพเรือลำเกิดเหตุ เพื่อหาสาเหตุเรือล่มอีกครั้ง โดยเรือลำดังกล่าวเป็นเรือขนาดความยาว 30 ฟุต พบสายไฮโดรลิกขาด เนื่องจากมีรอยรั่ว แต่ไม่พบร่องรอยการชน ส่วนสายน้ำทิ้งที่หลุดจากข้อต่อนั้นไม่มีผลทำให้เรือจม ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้สรุปว่า สาเหตุของเรือล่มมาจากบรรทุกน้ำหนักเกิน บวกกับกระแสน้ำ คลื่นในทะเล และความเร็วของเรือที่ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 200 แรงม้าถึง 3 เครื่อง

พบใบอนุญาตขับเรือหมดอายุ

นายเลิศพร ประพฤติธรรม หัวหน้างานการขนส่งทางน้ำที่ 4 สาขาเกาะพะงัน กล่าวว่า สาเหตุที่เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้สันนิษฐานไว้ 3 ประเด็น คือเรือมีการดัดแปลง คนขับเรือขับเรือด้วยความประมาท และบรรทุกผู้โดยสารเกิน เมื่อตรวจสอบเรือลำเกิดเหตุมีใบอนุญาตถูกต้อง แต่มีการดัดแปลงเครื่องยนต์ ผิด พ.ร.บ.การขนส่งทางน้ำ

ส่วนคนขับเรือคือ นายสำราญ รุ่งเรือง ถูกแจ้งข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต จากการตรวจสอบใบอนุญาตขับเรือของนายสำราญ ได้หมดอายุตั้งแต่ปี 2546 แล้ว ซึ่งคงต้องสอบสวนเพิ่มเติม หากตรวจสอบพบว่าผิดจริง อาจจะต้องแจ้งข้อหาเพิ่มอีก 1 ข้อหา
อย่างไรก็ตาม เรือโดยสารท่องเที่ยวทุกประเภทบนเกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า มีทั้งสิ้นประมาณ 500 ลำ และพบว่าบางส่วนยังไม่มีการจดทะเบียน ซึ่งทางจังหวัดได้ขอความร่วมมือว่าจากนี้ไปให้ดำเนินการให้เรียบร้อย

ศูนย์สื่อสารแจ้งยอดสูญหาย 24 ราย

รายงานข่าวจากศูนย์สื่อสาร รพ.เกาะสมุย แจ้งว่ายังมีผู้บาดเจ็บ 7 ราย รักษาตัวอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆ โดยที่ รพ.ไทยอินเตอร์ มีอยู่ 5 ราย คือ 1.น.ส.ไมรี วีรี อายุ 24 ปี ชาวเอตโตเนีย 2.น.ส.มารี โอจาซาร์ อายุ 22 ปี ชาวเอตโตเนีย 3.นายเล เฟิร์ดแมน อายุ 22 ปี ชาวอเมริกัน 4.นายทิวโน ลาสกิน อายุ 30 ปี ชาวเอตโตเนีย 5.นายชาเดล เบิร์ดคาล อายุ 35 ปี ชาวสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนที่ รพ.บ้านดอนอินเตอร์ มี 2 ราย คือ นายฟริโดลิน มัฟ อายุ 60 ปี ชาวสวิตเซอร์แลนด์ และนายอินทัต แหชู อายุ 28 ปี

ส่วนรายชื่อผู้สูญหายทั้งหมด 24 คน เป็นคนไทย 7 คน ชาวต่างชาติ 17 คน คือ 1.น.ส.แดง พลเยี่ยม อายุ 28 ปี 2.น.ส.นงนุช บุญส่ง อายุ 24 ปี 3.นายศราวุธ แสนทวีสุข อายุ 22 ปี 4. น.ส.วิภาวี ชินชู อายุ 24 ปี 5.นายฐานันฐ์ ถาวรรัตน์ อายุ 16 ปี 6.นายศุภพจน์ ผ่องแผ้ว (ไม่ทราบอายุ) 7.นายสัญญา ชูเพ็ง (ไม่ทราบอายุ) 8.นายคอนสแตนติน ชอง มี (ไม่ทราบอายุ) ชาวสวีเดน 9.นายเบอร์แรน วอช (ไม่ทราบอายุ) ชาวเยอรมัน 10. นายฮาส สเวนสัน (ไม่ทราบอายุ) ชาวสวีเดน

11.น.ส.เจสสิกา คริสตัล เพาเวล อายุ 30 ปี ชาวอเมริกัน 12.นายแอนเดอรัส สกายไทเนอร์ (ไม่ทราบอายุ) ชาวสวีเดน 13.นางแนนซี่ เวสท์ อายุ 50 ปี ชาวแคนาดา 14.นายเจสัน เอ็ดวูด อายุ 30 ปี ชาวอังกฤษ 15.นายเซียน โอคอล เอแกน (ไม่ทราบอายุและสัญชาติ) 16.นายสก๊อต (ไม่ทราบอายุและสัญชาติ) 17.นายเมรอน แลนเนียวโซ ชาวเอตโตเนีย 18.นางแอนนา เคลเมนซี อายุ 34 ปี ชาวอังกฤษ 19.นายเอลสเตอร์ แบรดลีย์ (ไม่ทราบอายุ) ชาวอังกฤษ 20.นายวูอี โจแอล เวนย์ (ไม่ทราบอายุ) ชาวอเมริกัน 21.นายริชาด แจนสัน (ไม่ทราบอายุ) ชาวสวีเดน 22.นายแอสโม (ไม่ทราบอายุและสัญชาติ) 23.นายเคธ ฟูลบรูก (ไม่ทราบอายุ) ชาวสวีเดน และ 24.น.ส.ซารัน ลูอิส (ไม่ทราบอายุ) ชาวอังกฤษ

ใช้เรือเร็วลุยจับกลางทะเล

นายอภิชาติ นุชนนทรีย์ หัวหน้าสำนักงานกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี จ.สุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า เรือที่เกิดเหตุถูกดัดแปลงเพิ่มเติมจากที่ได้รับอนุญาต คือเพิ่มเครื่องยนต์จาก 2 เป็น 3 เครื่องยนต์ เพื่อทำให้เรือมีความเร็วสูงกว่าที่มาตรฐานกำหนด ทั้งยังบรรทุกผู้โดยสารเกินจำนวน 32 ที่นั่ง ทำให้เรือสูญเสียการทรงตัวทันที สายไฮโดรลิกบังคับท้ายเรือเกิดขาดและล่มในที่สุด

นายอภิชาติ กล่าวว่า กรณีดังกล่าว กรมการขนส่งทางน้ำฯ จะดำเนินคดีกับคนขับเรือและเจ้าของเรือ ยึดใบอนุญาตเดินเรือ 1 ปี พร้อมทั้งให้เจ้าของหยุดบริการอีก 1 เดือน หากการสอบสวนพบมูลความผิดอื่นๆ จะพิจารณาดำเนินคดีอีกครั้ง

สำหรับมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นอีก นายอภิชาติ กล่าวว่า จะนำเรือใหญ่ขนาด 130 ฟุต เพื่อใช้เป็นฐานปฏิบัติการลอยลำกลางทะเล ดูแลความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวที่ใช้บริการเรือทุกประเภท และจะมีเรือเร็วขนาดเล็กแล่นตรวจสอบ หากพบเรือลำไหนฝ่าฝืนข้อกำหนดหรือมีมูลความผิด จะดำเนินการปรับและจับกุมกลางทะเลทันที ก่อนจะนำนักท่องเที่ยวไปส่งยังที่หมาย
นอกจากนี้ จะเพิ่มเจ้าหน้าที่ประจำท่าเรือทุกจุด คอยตรวจสอบดูแลความปลอดภัยบนเรือทุกลำ ก่อนที่จะปล่อยให้เรือแล่นออกจากท่า

ตรัง-สตูลสั่งทำประกันทุกลำ

นายวิชัย รัตตมณี นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดตรัง กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกรงว่าจะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวทางทะเลของ จ.ตรัง จึงได้หารือกับประธานชมรมเรือท่องเที่ยว ให้ทำประกันเรือทุกประเภท และต้องมีเสื้อชูชีพให้ครบจำนวนของนักท่องเที่ยว และขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการเรื่องห้ามบรรทุกน้ำหนักเกินกำลังเรือ ส่วนคนขับเรือจะต้องรู้ร่องน้ำและกระแสน้ำเป็นอย่างดี พร้อมกับห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่ประมาท รวมทั้งต้องทำประกันอุบัติเหตุให้แก่ผู้โดยสารคนละ 200,000 บาทด้วย

"ใน จ.ตรังได้ตรวจสอบการท่องเที่ยวทางเรืออย่างเข้มงวด เนื่องจากกรมเจ้าท่าจะลงตรวจสอบอุปกรณ์ช่วยชีวิตในเรือทุกครั้งก่อนที่จะออกเรือ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ" นายวิชัย กล่าวและว่า แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ คือนักท่องเที่ยวจะไม่ติดต่อผ่านบริษัทเรือโดยตรง แต่จะติดต่อกับเรือหางยาวนำเที่ยว ซึ่งตรงนี้จะไม่มีประกันอุบัติเหตุให้ หากเกิดปัญหาขึ้น นักท่องเที่ยวจะไม่สามารถเรียกร้องความเสียหายได้

ด้านนายวินิจ อึงรัตนากร กรรมการผู้จัดการบริษัท สตูลทราเวล จำกัด กล่าวว่า เรือที่ใช้บริการนักท่องเที่ยวในจังหวัด เป็นเรือที่ได้มาตรฐาน ความปลอดภัยสูง อุปกรณ์ เครื่องมือทุกชนิดได้มาตรฐาน จะมีการตรวจสอบทุกครั้งก่อนเดินเรือ อีกทั้งคนขับเรือและผู้ควบคุมเรือทุกคนจะมีใบหนังสือรับรองจากกรมเจ้าท่า แสดงว่าได้ผ่านการอบรมการเดินเรือมาแล้ว

ส่วนนายนเรศ จิตสุจริตวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง กล่าวว่า โอกาสที่เรือท่องเที่ยว จ.ตรังจะประสบเหตุมีน้อย เนื่องจากทะเลตรังมีน่านน้ำห่างจากฝั่งประมาณ 20 ไมล์ทะเล ซึ่งมีการติดต่อสื่อสารสะดวก สามารถรายงานเหตุได้อย่างทันท่วงที และเรือชายฝั่งมีอยู่จำนวนมาก สามารถให้การช่วยเหลือเบื้องต้นได้
ขณะที่นายมานิต วัฒนเสน ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล กล่าวว่า ขณะนี้ได้แจ้งกับนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องว่า ควรจะเข้มงวดตรวจสอบสภาพความสมบูรณ์ของเรือให้มีความพร้อมทุกด้าน และให้ควบคุมปริมาณการบรรทุกผู้โดยสาร และเรือที่ใช้ต้องมีมาตรฐานในการเดินเรือด้วย นอกจากนี้ผู้ประกอบการเดินเรือควรจะให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักท่องเที่ยวเกี่ยวกับความปลอดภัยระหว่างเดินเรือ

ระยองเสนอตั้งคณะทำงานคุมเข้ม

นางพิศจุไร ปานทิพย์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ระยอง กล่าวว่า เรือให้บริการนักท่องเที่ยวตามหมู่เกาะต่างๆ มีทั้งเรือโดยสารข้ามฟาก เรือนำเที่ยวและเรือเร็ว ซึ่งหลังเกิดเหตุเรือล่ม จะเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดให้จัดตั้งคณะทำงานออกตรวจสอบผู้ประกอบกิจการเรือในจังหวัด โดยเน้น 3 เรื่องหลัก คือการดัดแปลงเรือ ห้ามบรรทุกน้ำหนักเกิน และดูแลให้ผู้โดยสารใส่เสื้อชูชีพทุกคน โดยจะออกตรวจตามท่าเรือและสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อป้องกันอันตรายอันอาจเกิดขึ้นได้

ด้านนายสนิท บุญมาฉาย สมาชิกสภาเมืองพัทยา และประธานชมรมเรือท่องเที่ยวเมืองพัทยา กล่าวว่า ปัจจุบันเมืองพัทยามีเรือเร็วแล่นระหว่างฝั่งพัทยาและเกาะล้านประมาณ 500 ลำ ที่ผ่านมาได้ให้ผู้ประกอบการเรือต้องเน้นกับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทาง โดยทุกคนจะต้องสวมเสื้อชูชีพ หากไม่สวมจะต้องถือเสื้อชูชีพไว้ในมือเพื่อความปลอดภัยกรณีเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา เมืองพัทยายังไม่เกิดอุบัติเหตุทางทะเลอย่างรุนแรง หรือทำให้นักท่องเที่ยวเสียชีวิตจำนวนมาก

"เมืองพัทยาเคยเกิดอุบัติเหตุทางทะเลประมาณเกือบ 30 ปีที่แล้ว โดยเรือแสงแก้วล่มกลางทะเล ระหว่างฝั่งเกาะล้านและพัทยา ตอนนั้นมีผู้เสียชีวิตเกือบร้อยคน หลังจากนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีก" นายสนิท กล่าว

พายุทุเรียนเข้าสุราษฎร์ฯ-ชุมพรพรุ่งนี้เตือนประชาชนรับมือ

ประกาศฉบับที่ 8 พายุโซนร้อนทุเรียนจะเคลื่อนตัวลงสู่อ่าวไทย อธิบดีกรมชลประทานคาดเข้าสุราษฎร์ธานี-ชุมพรพรุ่งนี้ ผู้ว่าฯออกประกาศเตือนประชาชน

กรมอุตุนิยทวิทยา ออกประกาศเตือนภัยพายุโซนร้อนทุเรียน ฉบับที่ 8 ว่า เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 5 ธันวาคม 2549 พายุโซนร้อนทุเรียน บริเวณปลายแหลมญวน ประเทศเวียดนามตอนล่าง ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 700 กิโลเมตรทางตะวันออกของจังหวัดชุมพร มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ด้วยความเร็วประมาณ 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
คาดว่า พายุนี้จะเคลื่อนตัวลงสู่อ่าวไทยในเย็นวันนี้ ทำให้คลื่นลมในอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร ชาวเรือควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 5-7 ธันวาคม ส่วนภาคใต้จะมีฝนตกหนักบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวระมัดระวัง อันตรายจากพายุลมแรง ฝนตกหนัก และคลื่นพายุซัดฝั่งในช่วงวันที่ 6-7 ธันวาคมนี้

อธิบดีกรมชลฯคาดข้าสุราษฎร์ธานี-ชุมพรพรุ่งนี้

นายสามารถ โชคคณาพิทักษ์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า พายุโซนร้อนทุเรียน จะเคลื่อนตัวอยู่ในประเทศไทยเพียง 1 วัน ด้วยความเร็วประมาณ 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงไม่น่าวิตกมากนัก เพราะกรมชลประทาน สั่งการให้พร่องน้ำในอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ให้อยู่ในเกณฑ์ร้อยละ 80 เพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว และยังแจ้งเจ้าหน้าที่โครงการเฝ้าติดตามสถานการณ์ของพายุไต้ฝุ่นทุเรียนอย่างใกล้ชิด จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดสุราษฎ์ธานี และชุมพร ติดตาม

การเคลื่อนตัวของพายุโซนร้อนทุเรียนต่อไป

ผู้ว่าฯสุราษฎร์ธานีเตือนประชาชนรับมือ

นายนิวัตน์ สวัสดิ์แก้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ออกประกาศเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย 149 จุด ให้เฝ้าระวังผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นเรียน ซึ่งภาคตะวันออกและภาคใต้โดยเฉพาะจังหวัดจันทบุรี ตราด ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พัทลุง และสงขลา มีฝนตกหนักถึงหนักมาก อาจทำให้เกิดดินโคลนถล่ม น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญทางทะเล เช่น เกาะสมุย เกาะพงัน เกาะเต่า อุทยานแห่งชาติเขาสกพร้อมเตือนเรือประมงและเรือโดยสาร ให้งดออกจากฝั่ง และขอให้ประชาชนเฝ้าติดตามพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด

ผู้เสียชีวิตจากพายุทุเรียนที่เวียดนามเพิ่ม26คน

ศูนย์ควบคุมอุทกภัยและพายุแห่งชาติของเวียดนาม ระบุตัวเลขผู้เสียชีวิตล่าสุดอยู่ที่ 26 คน ผู้บาดเจ็บ 147 คน และสูญหายอีก 15 คน โดยอยู่ในจังหวัดบ่าเหรียะ หวุงเต่า ลองอัน และเตียนซาง ขณะเดียวกัน ในจังหวัดบิงทวน มีบ้านเรือนกว่า 1,120 หลัง และโรงเรียนอีก 22 แห่ง ได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ ยังทำให้เรือประมงล่มหลายร้อยลำ

ด้านรองนายกรัฐมนตรีเหวียน ซิง หุ่ง กล่าวผ่านทางสถานีโทรทัศน์เวียดนาม เตือนบรรดาจังหวัดต่าง ๆ ไม่ให้ประเมินความแรงของพายุทุเรียนต่ำเกินไป แม้มีการพยากรณ์ว่าพายุลูกนี้อ่อนกำลังเป็นพายุโซนร้อนแล้ว

ระทึก 5 นักดำน้ำ เกาะเต่า เรืออับปางลอยคอกลางอ่าวไทยเกือบ 20 ชั่วโมง

ครูสอนดำน้ำพาคณะนักท่องเที่ยว 4 คน ดำน้ำลึกหน้า เกาะเต่า เกิดเครื่องยนต์เรือขัดข้อง ถูกคลื่นซัดจนเรืออับปางต้องลอยคอรอการช่วยเหลือกลางทะเลเกือบ 20 ชั่วโมง สุดท้ายหน่วยกู้ภัยช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย

เหตุการณ์ระทึกกลางอ่าวไทยบริเวณน่านน้ำ จ.สุราษฎร์ธานี เปิดเผยเมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 14 ส.ค. 2547 โดยมีรายงานว่า นายองอาจ พึ่งเป็นสุข อายุ 32 ปี ครูสอนดำน้ำ ได้นำเรือสปีดโบท หรือเรือเร็ว ซึ่งเป็นเรือสำหรับพานักท่องเที่ยวไปดำน้ำ ของบริษัท คริฟตัน ไดรวิ่ง จำกัด อ.เกาะสมุย พานักท่องเที่ยวจำนวน 4 คน ซึ่งเป็นทหาร 2 คนและตำรวจ 2 คน ไปดำน้ำที่บริเวณ เกาะเต่า ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่เวลา 13.00 น.ของวันที่ 13 ส.ค. ที่ผ่านมา

แต่ระหว่างที่ลอยเรืออยู่บริเวณดังกล่าวไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เครื่องยนต์เรือได้เกิดขัดข้อง ขณะเดียวกันมีคลื่นลมแรงพัดกระหน่ำ แต่คนในเรือไม่สามารถบังคับเรือโต้คลื่นได้เนื่องจากเครื่องยนต์ดับ ทำให้เรือขวางคลื่นส่งผลทำให้น้ำไหลเข้าท่วมเรือจนจมไม่สามารถเดินทางกลับเข้าฝั่งได้ ทั้ง 5 คน จึงต้องลอยคออยู่กลางทะเลตลอดทั้งคืน ทางบริษัทฯ จึงได้ประสานขอความช่วยเหลือไปยังเรือที่อยู่ใกล้เคียง และเรือตำรวจน้ำ กองกำกับการตำรวจน้ำเกาะสมุย เพื่อนำเรือออกช่วยเหลือ

จนกระทั่งเมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 14 ส.ค. 2547 เรือของบริษัทฯ ได้ออกค้นหาในพิกัดที่ใกล้เคียงกับบริเวณจุดดำน้ำ และสามารถช่วยเหลือผู้โดยสารขึ้นมาบนฝั่งได้อย่างปลอดภัยทุกคน โดยทุกคนไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

นายวัชรินทร์ ฟ้าศิริพร กรรมการผู้จัดการ บริษัทคริฟตัน ไดรวิ่ง จำกัด เปิดเผยว่า เรือดังกล่าวเป็นเรือเล็กที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้สำหรับไปดำน้ำที่ เกาะเต่า เป็นประจำ และทุกครั้งเรือได้ผ่านการตรวจสภาพเป็นอย่างดี สำหรับผู้ที่เดินทางไปครั้งนี้มีจำนวน 5 คน ทั้งหมดเป็นเพื่อนสนิทของตน มีความเชี่ยวชาญเรื่องการดำน้ำ และมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องทางทะเลพอสมควร เพราะผ่านหลักสูตรดำน้ำทุกคน โดยในเรือมีอุปกรณ์สำหรับการดำน้ำและเครื่องมือสื่อสารครบถ้วน จึงติดต่อขอความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
นายวัชรินทร์ กล่าวว่า หลังจากที่ทางบริษัทได้รับการติดต่อเข้ามาว่าเรือประสบอุบัติเหตุ จึงได้ระดมกำลังออกช่วยเหลือตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 13 ส.ค. แต่เนื่องจากมีคลื่นลมแรงการช่วยเหลือจึงเป็นอย่างล่าช้า
ด้านนายองอาจ เล่านาทีระทึกว่า หลังจากที่ทราบว่าเรือประสบอุบัติเหตุเครื่องยนต์ขัดข้อง มีน้ำไหลเข้าท่วมเรือ ประกอบกับถูกคลื่นซัดออกนอกพิกัดจากจุดที่ดำน้ำ จึงพยายามติดต่อขอความช่วยเหลือได้เป็นบางช่วง หลังจากนั้นแบตเตอรี่วิทยุถูกน้ำจนเปียกไม่สามารถติดต่อได้ จึงลอยคออยู่ในทะเลเป็นเวลา 1 คืน แต่ทุกคนมีสติดี

"ทุกคนมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนแต่ยังมีสติดีอยู่ จุงไม่มีใครพูดให้ใครเสียกำลังใจ ประกอบกับสภาพร่างกายทุกคนมีความความพร้อมเพราะผ่านการฝึกฝนมาพอสมควร ทั้งยังมีเครื่องชูชีพและอุปกรณ์ดำน้ำพร้อม จึงทำตามขั้นตอนทุกอย่างของการเรียน และมั่นใจว่าต้องปลอดภัยทุกคน" นายองอาจ กล่าว

ถนนหาดทรายรี เกาะเต่า คนเดินแต่มีรถวิ่ง

ถนนหาดทรายรี เกาะเต่า คนเดินแต่มีรถวิ่ง
ถนนริมหาดทรายรี อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตอนขออนุญาตทำทางได้ระบุไว้ว่า ขอทำถนนคนเดิน เป็นถนนกว้างประมาณ 150 ซม. แต่ตอนนี้มีทั้งรถยนต์ รถดูดส้วม และรถมอเตอร์ไซค์วิ่งกันทุกวัน คนที่เดินต้องหลบลงมาเดินข้างทาง
ร้านค้าที่อยู่ริมถนน วันดีคืนดีก็มีรถวิ่งเข้ามาชน ล่าสุดมีมอเตอร์ไซค์ชาวต่างชาติวิ่งเข้าชนร้าน มีเด็กนั่งอยู่ในร้านโดนกระจกบาด ทางร้านได้ร้องเรียนไปที่ อบต.เกาะเต่า ก็ไม่มีใครสนใจ
ตอนนี้ เกาะเต่าเป็นตำบลเล็กๆ มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมาก อยากให้ช่วยดูแลกันด้วย
ชาวเกาะเต่า


ตอบ

นายอวยชัย ศรีทอง ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เกาะเต่า ชี้แจงว่า ถนนที่หาดทรายรีเป็นถนนตัวหนอน สร้างมาได้ประมาณ 3 ปีแล้ว เป็นถนนหลักที่นักท่องเที่ยวและชาวบ้านใช้สัญจร ไม่ได้มีไว้แค่เป็นถนนคนเดิน รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน วิ่งได้ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาเช่ารถเหล่านี้ ขับขี่รับลม ชมวิว และยังมีรถเก็บขยะของ อบต. ที่ได้รับอนุญาตให้วิ่งบนถนนเส้นนี้ได้ แต่จะห้ามเฉพาะรถยนต์เท่านั้น
การจะร้องเรียนเพื่อให้ปิดถนนใช้เฉพาะ "เดิน" ไม่ให้รถสัญจร ต้องร้องเรียนเป็นลายลักษณ์อักษร และส่งไปที่ อบต. เพื่อนำเรื่องเข้าพิจารณาในที่ประชุมขอความเห็นชอบต่อไป
ปลัดอวยชัย บอกว่า ปิดไม่ได้หรอก ชาวบ้านเดือดร้อน

ลุงแจ่ม

รับยื่นแบบภาษีในท้องถิ่น เกาะเต่า

กรมสรรพากรร่วมมือกับ ธ.ไทยพาณิชย์รับยื่นแบบภาษีในท้องที่ ต.เกาะเต่า จ.สุราษฏร์ธานี



นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร ร่วมลงนามความร่วมมือกับนายจรัมพร โชติกเสถียร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่กลุ่มบริการบริหารการเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในการให้บริการรับแบบแสดงรายการภาษีทางอินเทอร์เน็ตและแบบกระดาษ สำหรับผู้ประกอบการและเสียภาษี ในท้องที่ ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฏร์ธานี เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและเสียภาษี โดยสามารถยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีได้ทุกประเภทภาษี ได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาย่อยเกาะเต่า จ.สุราษฏร์ธานี ซึ่งจะเปิดรับยื่นแบบฯ และชำระภาษีได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2550 เป็นต้นไป ณ ห้องประชุมชั้น 2 กรมสรรพากร เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2550

108 เรื่องราวชาว เกาะเต่า


เกาะเต่า " ดินแดนเกาะแห่งรัก "


นับจากอดีตจวบจนถึงปัจจุบันนี้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ เกาะเต่า ได้รับอีกหนึ่งฉายา " เกาะรัก หรือ เกาะแห่งรัก " ในหมู่เราชาว เกาะเต่า เรียกกันสั้นๆ ว่า " เกาะรัก " ที่มาของเกาะรักเป็นที่รู้กันอยู่แล้วจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาเที่ยว เกาะเต่า กันเป็นคู่ ชาย - หญิง และมักเป็นคู่รักกัน ไม่ว่าจะเป็นแบบแต่งงานแล้ว หรือแบบกำลังดูใจกัน ซึ่งจะเป็นช่วงของวัยอายุระหว่าง 20 - 35 ปี และช่วงวัยนี้เองเป็นวัยแห่งการค้นหา ชอบเสี่ยง คือเน้นแบบลุยๆ ชนิดถึงไหนถึงกัน ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และชาวไทยมีความชอบไม่ต่างกันมากนัก เพียงแต่นักท่องเที่ยวชาวไทยนั้นลุยน้อยกว่า ดังนั้น ดินแดนเกาะรัก เรียกได้ว่า สมใจ สุขสดชื่นสมปรารถนากับความรักเกือบทุกคู่กันเลยทีเดียว คงเป็นผลมาจากความกันดาน และความลำบากของที่นี่ ก่อเกิดกิจกรรมต่างๆ มากมาย ระหว่างเขากับเธอ เสมือนหนึ่งอุบัติเหตุรัก อันได้แก่ กิจกรรมการเดินเท้าย่ำรักไปด้วยกันบนเส้นทางโหด มันส์ ฮา หลากหลายรูปแบบให้ทั้งคู่ได้อุบัติรักต่อกันท่ามกลางร่มไม้ใหญ่ เขียวขจีหนาตาไปทั่วบริเวณ และอีกกิจกรรมหนึ่งที่ไม่ควรพลาดนั่นคือกิจกรรมดำน้ำ Scuba หรือดำน้ำแบบสน็อกเกิ้ลลิ่งเหนือผิวน้ำ มีความสุขมากเพียงใดที่ได้พบเห็นฝูงปลานานาพันธุ์นั้นอย่างประทับใจ ในดินแดน " เกาะเต่า จุดดำน้ำยอดฮิต ติดอันดับหนึ่งของโลก " เชื่อว่าคนแรกที่เขาอยากจะให้ได้เห็น ได้พบเจอสุดยอดสัมผัสใหม่ใต้โลกทะเล เกาะเต่า ก็คือหวานใจนั่นเอง ซึ่งก็ดำน้ำเคียงคู่อยู่ใกล้ๆ กัน ถึงแม้จะคุยกันในน้ำด้วยเสียงอู้อี้ๆ ด้วยอาการตื่นเต้น ก็ยังเข้าใจกันได้ในความหมายแห่งรักที่มีต่อกันได้ไม่ยาก.


จุดชมวิว " จอห์น - สุวรรณ " ตำนานรักสาวประเภทสองของไทย ระบือไกลไปทั่วโลก
จุดชมวิวถัดไปทางใต้ของ เกาะเต่า หากไป เกาะเต่า แล้วไม่ได้มาเยือนจุดชมวิวนี้ ถือว่า " มาไม่ถึง เกาะเต่า " อยากให้นักท่องเที่ยวทุกท่านได้มาสัมผัสและสูดอากาศอันแสนบริสุทธิ์ไปพร้อมๆ กัน กับอีกหลากหลายวิวรอบตัวกันเลยทีเดียว ณ จุดชมวิว "จอห์น-สุวรรณ" นี้สามารถมองเห็น เกาะเต่า ในมุมกว้างได้มากที่สุดกว่าจุดชมวิวที่อื่นๆ บน เกาะเต่า และมองเห็นเกาะฉลาม , อ่าวเทียนออกแลเห็นโค้งทรายตัดทะเลสีคราม และท่อนน้ำตื้นสีเขียวมรกตแบบไชน์ส่องแสงงดงามยิ่ง , ทึ่งอ่าวโฉลกบ้านเก่า ณ จุดชมวิวนี้สามารถแลเห็นทรายใต้น้ำทะเลของอ่าวโฉลกบ้านเก่าได้อย่างน่าอัศจรรย์เป็นที่สุด อันแสดงถึงน้ำทะเล เกาะเต่า ยังคงครองแชมป์ความเป็นหนึ่งน้ำทะเลใสตลอดทั้งปีที่สุด ในโซนแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลอ่าวไทย เพราะ เกาะเต่า คือยอดของอดีตภูเขามาก่อนนั่นเอง ณ จุดชมวิวนี้เองที่ทำให้นักท่องเที่ยวร่วมสร้างความประทับใจมาแล้วทั่วโลก. ที่มาของชื่อจุดชมวิว " จอห์น-สุวรรณ " เล่าว่า เดิมแต่ก่อนปี พ.ศ. 2540 มีนักท่องเที่ยวชาวยุโรปชื่อ " มิสเตอร์ จอห์น " ได้มาเที่ยว เกาะเต่า และพบรักกับสาวประเภทสองชาวไทยชื่อ "สุวรรณ" ทั้งคู่ใช้ชีวิตร่วมกันเหมือนคู่รักทั่วไป และเลือกจุดชมวิวนี้เป็นที่นัดพบกันเสมอ อีกทั้งเขาทั้งคู่ยังเป็นผู้ค้นพบจุดชมวิวนี้ด้วย. ครั้นเมื่อมิสเตอร์จอห์น ได้เวลากลับประเทศของตน จึงให้คำมั่นกับคุณสุวรรณ ว่า.... เราจะกลับมาเจอกัน ณ จุดชมวิวนี้ด้วยกันอีกครั้ง เมื่อถึงวันนัดพบตามที่นัดกันไว้ ปรากฏว่า " จอห์น " ไม่ได้มาพบ " สุวรรณ " ตามนัด. ถึงกระนั้น " สุวรรณ " ยังคอยและมีความหวังอยู่เสมอถึง " จอห์น " สักวันเขาคงกลับมา. ใครที่ผ่านไปผ่านมาแถบนั้นก็จะพบเห็น " สุวรรณ " เสมอ และเมื่อถามไปก็จะได้รับคำตอบเดิมคือ " มานั่งคอยจอห์น " นั่นเองจึงเป็นที่มาของเรื่องเล่าของชาว เกาะเต่า เรียกจุดชมวิวนี้ว่าจุดชมวิว " จอห์น - สุวรรณ " จนถึงปัจจุบันนี้.


กองหินยักษ์รอบ เกาะเต่า
กองหินขนาดใหญ่มีมากมายรอบ เกาะเต่า ยกเว้นเฉพาะบางช่วงที่เป็นชายหาดเท่านั้น นักท่องเที่ยวหลายท่านได้มาเยือน เกาะเต่า เป็นครั้งแรกแปลกใจกับกองหินรอบ เกาะเต่า เมื่อครั้งล่องเรือรอบเกาะด้วยความสงสัยถึง กองหินเหล่านั้น ต้องมีใครมาจับวาง หรือจัดกองหินเหล่านั้นให้เป็นระเบียบ ในแนวระดับเลียดน้ำทะเลอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นจะเป็นแนวเดียวกัน สวยงามขนาดนี้ได้อย่างไร ทำให้เราทึ่งในความอัศจรรย์สรรสร้าง แห่งพระหัตถ์ธรรมชาติ ที่ทำให้เราเข้าใจไปเป็นอื่นได้ กองหินหลายก้อนตั้งซ้อน เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ และมีขนาดใหญ่มาก รถสิบล้อหลายคันรวมกัน ยังไม่เท่ากับหินก้อนใหญ่บางก้อน ไฉนเลยเครื่องมือใดในโลก จะขยันยกก้อนหินเหล่านั้นรอบทั้ง เกาะเต่า ได้ละเมียดละไมอย่างลงตัวดีแท้ ขอเชิญนักท่องเที่ยวร่วมพิสูจน์ความมหัศจรรย์สรรสร้างกองหินยักษ์ จากธรรมชาติตัดกับสีน้ำทะเลเรืองใส ไปพร้อมกัน ณ บัดนี้
นักท่องเที่ยวหลายท่านที่เคยดำน้ำระดับผิวน้ำทะเล หรือที่เรียกกันฮิตติดปาก "สน็อกเกิ้ล" มาแล้วนั้น ได้ยลโฉมกับความสวยงาม ของโลกใต้ทะเล เกาะเต่า เกาะนางยวน และเชื่อว่าหลายท่านอยากนำธรรมชาติใต้น้ำนั้นมาสรรค์สร้าง จัดแต่งในแบบฉบับจินตนาการภายในตู้ปลาของตนไม่น้อยทีเดียว.จากความสวยงามที่ตอบสนองต่อความพึงพอใจ ในผลงานตู้ปลาเพียงไม่กี่วัน พลันทำให้สัตว์น้ำทะเล และพืชจำพวกสาหร่ายที่ตั้งใจนำมาเลี้ยง หรือนำมาจัดโชว์ในตู้ปลานั้น ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสงสารในช่วงแห่งความสุขช่วงสั้นๆ ของท่าน อาทิ หอยมือเสือ , เม่นทะเล , สาหร่าย , ปะการัง และสัตว์น้ำทะเลอื่นๆหากไม่มีความรู้เรื่องระบบนิเวศน์แวดล้อมทางทะเลที่ดีแล้ว เมื่อนำสัตว์น้ำไปเลี้ยงในตู้ปลาเพื่อความสวยงาม เชื่อเอาว่าแค่เปลี่ยนน้ำทะเลบ่อยๆ แล้ว ก็จะทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นไม่ตายได้ ซึ่งน่าจะเป็นแนวความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่เป็นสาเหตุต้องทำให้สัตว์น้ำทะเลทนกับสภาพแวดล้อมที่ถูกรบกวนด้วยการเปลี่ยนน้ำบ่อยครั้ง และไม่คุ้นกับอาหารที่ได้รับ คือ ผิดไปจากธรรมชาติเดิม ทำให้ต้องจบชีวิตลงในระยะเวลาอันสั้น และมีอีกหลายชนิดที่ต้องตายในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง หรือมีชีวิตอยู่เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้นอย่างไรเสีย ความสวยงามของโลกใต้ทะเล เกาะเต่า เกาะนางยวน ที่ธรรมชาติได้สร้างขึ้นมาให้เรานั้น งดงามที่สุดมากกว่าที่ใดๆ ในโลกอีกหลายแห่ง อาทิ แหล่งท่องเที่ยวหลายที่ต้องการถอดแบบธรรมชาติโลกใต้ทะเลไปสู่สังคมเมือง โดยเลียนแบบธรรมชาติให้เหมือนของจริงมากที่สุด โดยเอาชีวิตของสัตว์น้ำของจริงเหมือนกันเป็นเดิมพัน มีตั้งแต่ตู้ปลาขนาดเล็ก ไปจนถึงระดับใหญ่โต Under Water กันเลยทีเดียว แต่เบื้องหลังใครเล่าจะรู้ได้บ้างถึงสิ่งมีชีวิตใต้น้ำเหล่านั้นระทมเพียงใด หรือผลัดกันตายมาแล้วกี่รุ่นดูเอาเถิดธรรมชาติของจริงใต้น้ำทะเล เกาะเต่า เกาะนางยวน ชวนให้หลงไหลกว่าของเลียนแบบเป็นไหนๆ ไกลลิบ ยากที่มนุษย์จะทำได้เหมือน อาทิ ฝูงฉลามวาฬมหึมา ฝูงปลามโหฬารสูงเทียมตึก ทำให้หลายท่านตื่นเต้นไม่เหือดหายไปจากความทรงจำ ขอเชิญชวนมาดู มาเที่ยว มาสัมผัสของจริงได้แล้ววันนี้ที่ เกาะเต่า เกาะนางยวน.
ศาลเจ้าพ่อ "ตาโต๊ะ" เกาะเต่า
ศาลเจ้าพ่อ "ตาโต๊ะ" ตั้งอยู่บนเนินเส้นทางไป ตาโต๊ะ รีสอร์ท เป็นที่สักการะ และเคารพนับถือของชาว เกาะเต่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเรื่อยมา และขอไม่เอ่ยถึงที่มาของศาลเจ้าพ่อ เพราะเกรงมีผลกระทบต่อจิตใจพี่น้องชาว เกาะเต่า หลายท่านที่มีต่อเจ้าพ่อ "ตาโต๊ะ". ณ ที่แห่งใดในโลกนี้ ล้วนมีเจ้าที่ผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยแห่งนั้นเสมอ เกาะเต่า ก็เช่นกัน เชื่อว่า เจ้าพ่อ "ตาโต๊ะ" ให้ความคุ้มครองผู้คนบน เกาะเต่า รวมทั้งนักท่องเที่ยว ผู้มาเยือนเกาะแน่นอน โดยเฉพาะผู้มากราบไหว้ขอพรจากเจ้าพ่อโดยตรง ที่สมหวังก็จะมาแก้บนโดยการจุดประทัด และนำอาหาร คาว หวาน มาถวาย. แนะวิธีขอพรจากเจ้าพ่อ "ตาโต๊ะ" 1) จุดธูป 7 หรือ 9 ดอก ตั้งจิตอธิษฐานขอพร ณ ศาลเจ้าพ่อ "ตาโต๊ะ" , 2) หลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ายามเย็นแล้ว ให้จุดธูป 7 หรือ 9 ดอก ตั้งจิตอธิษฐานขอพร ณ สถานที่ใดก็ได้บน เกาะเต่า แต่ต้องให้เป็นสถานที่ๆ เงียบสงบ และไม่มีผู้คนเดินพลุกพล่าน แล้วปักธูปลงพื้นดินตรงนั้น และเดินถอยหลัง 7 ก้าว กลับหลังหันเดินจากไป โดยไม่ต้องหันกลับมามองธูปนั้นอีก , 3) เมื่อสมปรารถนาจากการขอพรจาก "เจ้าพ่อตาโต๊ะ" ให้รีบกลับมาแก้บนในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน นับจากวันที่ได้พรสมปรารถนา และการขอพรแต่ละครั้งขอให้มั่นใจได้ว่า ท่านจะสามารถกลับมาแก้บนได้แน่นอนด้วย. มิเช่นนั้น......

สรุปลักษณะภูมิอากาศประจำปี ชุมพร เกาะเต่า เกาะนางยวน



ลักษณะภูมิอากาศ เส้นทาง ชุมพร เกาะเต่า เกาะนางยวน
จังหวัดชุมพร มีสภาพพื้นที่ค่อนข้างแคบและยาว มีพื้นราบ ภูเขา และชายฝั่ง ทะเล ตั้งอยู่ระหว่างทะเลอันดามันและอ่าวไทย สภาพภูมิอากาศเป็นมรสุมเมืองร้อน อยู่ภายใต้อิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้พื้นที่ของจังหวัดมีอากาศชุ่มชื้นฝนตกชุกเกือบตลอดปี อากาศโดยทั่วไปไม่ร้อนมากในฤดูร้อน และไม่หนาวจัดในฤดูหนาว เมื่อพิจารณาตามสภาพอากาศ สามารถสรุปฤดูกาลของจังหวัดชุมพรได้เป็น 2 ฤดู คือ
ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเปลี่ยนมรสุม หลังมรสุมตะวันออกเฉียงเหนืออ่อนกำลังลง
ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงเดือนมกราคม ทำได้รับอิทธิพลมรสุมและลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่านอ่าวไทยเข้าสู่ภาคใต้ ทำให้มีฝนตกชุกในช่วงปี 2542 – 2547 มีปริมาณน้ำฝนอยู่ในช่วง 1,558 – 2,349 มิลลิเมตร โดยในปี 2543 ฝนตกมากที่สุด วัดได้ 2,349 มิลลิเมตร มีจำวนวันทีฝนตก 186 วัน และมีฝนตกน้อยที่สุดในปี 2547 วัดได้ 1,558 มิลลิเมตร มีฝนตก 165 วัน
ส่วนอุณหภูมิในจังหวัดชุมพร เฉลี่ยประมาร 27.1 องศาเซลเซียส ในช่วงระหว่างปี 2542 – 2547 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 34.3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 21.7 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยสูงสุด 97 เปอร์เซ็นต์ เฉลี่ยต่ำสุด 48 เปอร์เซ็นต์ เฉลี่ย 81 เปอร์เซ็นต์

สมุทรศาสตร์


1) กระแสน้ำ
มวลน้ำที่เคลื่อนตัวไปมาภายในอ่าวไทยนั้น และมีผลกระทบต่อจังหวัดชุมพรจะมาจากมวลของน้ำในทะเลจีน มหาสมุทรแปซิฟิคที่ไหลขึ้น – ลง หรือหมุนเวียนไปตามอิทธิพลของมหาสมุทรในฤดูต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงทิศทางของกระแสน้ำผิวหน้าที่ไหลขนานกับขอบฝั่งทะเลนั้น มักจะเกิดจากการกระทำของลมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ลมมรสุมที่มีอิทธิพลต่อกระแสน้ำในอ่าวไทย จนทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนทิศทางการไหลได้นั้นเป็นลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่มีความรุนแรงไม่สม่ำเสมอกัน แต่ส่วนใหญ่มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังแรงกว่าระยะเวลาที่พัดนานกว่า และมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางในการพัดน้อยกว่ามรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ดังนั้น กระแสน้ำผิวหน้าภายในอ่าวไทย จึงได้รับอิทธิพบจากมรสุมทั้งสองนี้ไม่เท่ากัน และทำให้มวลของน้ำไหลเข้าเหนือไหลออกจากอ่าวไทยด้วยความเร็วไม่สม่ำเสมอกันอีก
กรมควบคุมมลพิษรายงานไว้ว่า โดยทั่วไปกระแสน้ำในบริเวณนี้จะไหลจากทิศเหนือลงมาทางตอนใต้ จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มาจนถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานีไหลผ่านเกาะสมุย หลังจากนั้นจะไหลลงสู่ตอนกลางของอ่าวไทย แต่สำหรับในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมจะมีกระแสน้ำวนในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา ในช่วงชายฝั่งทะเลจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี เกาะสมุยและหมู่เกาะอ่างทอง อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม กระแสน้ำในบริเวณนี้จะไหลขึ้นทางทิศเหนือ ซึ่งยังเป็นที่วิจารณ์กันโดยยังหาข้อสรุปไม่ได้ในปัจจุบัน เนื่องจากความแปรปรวนของลักษณะทางสมุทรศาสตร์ที่เกิดขึ้นได้ทุกปี

2) คลื่น
คลื่นในบริเวณชายฝั่งอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร ได้รับอิทธิพลหลักจากกระแสลม โดยพบว่า ช่วงเวลาที่มีคลื่นแรงที่สุดจะอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ซึ่งได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีกำลังแรงในช่วงนี้ ประกอบกับเป็นช่วงที่มีฝนตกหนัก ส่งผลให้เป็นอุปสรรคในการเดินทางท่องเที่ยวทางทะเลช่วงเวลาที่มีคลื่นแรง รองลงมาได้แก่ ช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากลมตะวันออก ซึ่งมีความแรงลมน้อยกว่าลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้คลื่นมีความแรงไม่มากนัก อีกทั้งช่วงนี้เป็นช่วงฤดูแล้ง ทำให้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเดินทางท่องเที่ยวทางทะเล
ในช่วงรอยต่อระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนลมมรสุม อาจจะส่งผลให้กระแสลมมีความรุนแรง อีกทั้งมีลมตะวันตกเฉียงใต้พัดเข้ามา เนื่องจากจังหวัดชุมพรมีลักษณะเป็นแหลมแคบ ๆ ทำให้ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนลมมรสุมในช่วงเวลาสั้น ๆ ช่วงนี้จึงอาจจะมีคลื่นแรงขึ้นเล็กน้อย
ในช่วงเดือนพฤษภาคม - กันยายน เป็นช่วงที่ภาคใต้ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้กระแสลมพัดออกจากฝั่ง ช่วงเวลานี้จัดเป็นช่วงเวลาที่มีคลื่นไม่แรงมากนักโดยเฉพาะบริเวณชายฝั่ง และกลุ่มเกาะใกล้ชายฝั่ง เนื่องจากจุดกำเนิดคลื่นอยู่ใกล้ฝั่ง อย่างไรก็ตามความแรงของคลื่นจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อออกจากฝั่งมากขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้วช่วงนี้จัดเป็นช่วงเวลาที่คลื่นไม่แรงมากนัก ยกเว้นบางช่วงเวลาที่อาจจะมีกระแสแปรปรวน
อนึ่ง แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีคลื่นไม่แรงมากนัก แต่ก็อาจจะได้รับอิทธิพลจากฝน ในช่วงลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้อยู่บ้างเป็นบางครั้ง

3) การขึ้นลงของน้ำทะเล
การแปรผันของระดับน้ำทะเลจังหวัดชุมพร ย่อมเกี่ยวข้องกับลักษณะอุตุนิยมกล่าวคือ การเปลี่ยนทิศทางของลม หรือความกดอากาศของบริเวณฝั่งนั้นต่ำลง ก็จะทำให้ระดับน้ำขึ้นและลงเต็มที่ของฝั่งนั้นมีค่าสูงขึ้น ส่วนฝั่งที่มีลมพัดออกหรือฝั่งที่มีความกดอากาศสูง ย่อมทำให้ระดับน้ำของฝั่งนั้นมีค่าต่ำ นอกจากนั้นยังมีอาการผันแปรของน้ำตาม ลักษณะภูมิศาสตร์คือ ตำบลที่เป็นทะเลเปิด ย่อมจะมีการผันแปรของน้ำตามฤดูกาลดังกล่าวนั้นน้อย ตำบลที่อยู่ใกล้ปากน้ำจะมีการผันแปรของระดับน้ำตามฤดูกาล ซึ่งขึ้นอยู่กับอิทธิพลของน้ำในแม่น้ำ อันอาจทำให้ระดับน้ำขึ้นลงเต็มที่มากกว่าหรือน้อยกว่าธรรมดาก็ได้
ลักษณะน้ำขึ้นน้ำลงของจังหวัดชุมพร มีลักษณะเป็นน้ำเดี่ยวหรือน้ำช่วงหนึ่งวัน คือ มีการขึ้นลงวันละ 1 ครั้ง โดยมีระดับความแตกต่างเฉลี่ยระหว่างน้ำขึ้นน้ำลงขนาด 1.2 เมตรในช่วงน้ำขึ้นน้ำลงฉับพลัน ช่วงเวลาที่มีความแตกต่างระหว่างน้ำขึ้นน้ำลงมากที่สุด อยู่ในช่วงเดือนธันวาคม โดยมีระดับน้ำขึ้นสูงสุดกับระดับน้ำลงต่ำสุดต่างกันถึง 3.0 เมตร

4) กำลังลม
ค่าเฉลี่ยความเร็วลม (น็อต) ในรอบ 30 ปี ระหว่าง พ.ศ.2513-2543 ของจังหวัดชุมพร ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงธันวาคมอยู่ในช่วง 1.8 – 3.5 น็อต โดยลมมีความเร็วเฉลี่ยสูงสุดในเดือนธันวาคม รองลงมาคือ เดือนสิงหาคม และความเร็วลมเฉลี่ยต่ำสุดพบในเดือนตุลาคม โดยที่ทิศทางลมนั้นมาจาก 3 ทิศทาง ด้วยกันคือ ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายนลมพัดมาจากทิศตะวันออก (E) ส่วนเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ลมจะพัดมาจากทิศตะวันตก (W) และเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ลมจะพัดมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (NE)

5) อุณหภูมิน้ำทะเล
จากข้อมูลการสำรวจสมุทรศาสตร์ของกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ พบว่าอุณหภูมิที่ผิวหน้าน้ำทะเลประมาณ 28.6 องศาเซลเซียส

6) สีและความโปร่งใสของน้ำทะเล
จากข้อมูลการสำรวจสมุทรศาสตร์ของกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ปรากฏว่าในบริเวณใกล้ฝั่งทะเลจะมีตะกอนแขวนลอย เมื่อห่างฝั่งออกไปสีของน้ำทะเลจะเป็นสีน้ำเงินแกมเขียว (Greenish Blue)

7) ลักษณะพื้นท้องทะเล
จากข้อมูลการสำรวจสมุทรศาสตร์ของกรมอุกศาสตร์ กองทัพเรือ พบว่าลักษณะพื้นท้องทะเลโดยทั่วไป มีลักษณะเป็นโคลนและโคลนปนทราย

แผนที่ เกาะเต่า เกาะนางยวน


แผนที่ เกาะเต่า เกาะนางยวน
สามารถเข้าไปดูได้ที่ลิ้ง Url-> http://www.kohtaotoday.com/kohtao_map.html

ข้อควรระวัง มีอะไรบ้างที่ เกาะเต่า เกาะนางยวน

ความอ่อนเพลีย สาเหตุเครื่องปรับอากาศไม่ทำงาน เหตุการณ์นักท่องเที่ยว ดื่มสุราเมาไม่ได้สติแล้วหลับในห้องแอร์ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เนื่องจากแอร์ไม่ทำงาน ซึ่งเกิดจากความไม่ใส่ใจของผู้ดูแลรีสอร์ท ที่ไม่ระวังในเรื่องการปิด-เปิด สวิทระบบไฟหลัก ซึ่งที่นี่ระบบไฟฟ้ายังเป็นแบบการปั่นไฟฟ้าใช้เอง ส่วนใหญ่กลางวันใช้ไฟหลวง กลางคืนใช้ไฟปั่น จากความประมาทในการสลับปิด - เปิด สวิทจากไฟหลวงมาใช้ไฟปั่น หรือจากไฟปั่นมาใช้ไฟหลวง ช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. และ 06.00 น. ทำให้เครื่องปรับอากาศปิดตัวเองลงมาอยู่ในระบบแสตนบาย หมายถึงเครื่องไม่ทำงานนั่นเอง.

ห้าม!!..ตกปลา บริเวณ เกาะเต่า เกาะนางยวน ประกาศ!!... ห้ามนักท่องเที่ยวตกปลา โดยรอบบริเวณ เกาะเต่า เกาะนางยวน เพราะที่นี่เป็นแหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติทางทะเล และเป็นการทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยวทางจิต บ่งบอกถึงความประพฤติที่ไม่ดีแก่ผู้พบเห็น หากท่านมีความประสงค์ที่จะตกปลา ขอให้แล่นเรือออกไปตกปลาห่างจาก เกาะเต่า เกาะนางยวน ไม่น้อยกว่า 15 ไมล์ทะเล เพื่อให้มั่นใจได้ว่าได้ออกมานอกเขตอนุรักษ์แล้ว.

ประกาศ !! จาก เกาะนางยวน ห้าม!!.. มิให้เรือแท็กซี่ที่ใช้เครื่องยนต์รถ เข้าเทียบท่าเกาะนางยวน เนื่องจากเรือดังกล่าวส่งเสียงดัง สร้างความรำคาญแก่นักท่องเที่ยว รวมถึงเป็นการทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยว หากผู้ใดยังฝ่าฝืนครั้งต่อไปจะไม่ให้เข้าเทียบท่าเกาะนางยวนอีก.

เงื่อนไขการท่องเที่ยวบน เกาะนางยวน
1) ห้าม!!.. นำขวดพลาสติก อาหาร หรือเครื่องดื่มบรรจุกระป๋อง เข้ามาใช้ในเกาะนางยวน.
2) ห้าม!!.. เก็บ-นำเปลือกหอยหรือซากปะการัง ออกจาก เกาะนางยวน.
3) ห้าม!!.. ใช้ตีนเป็ด ในเขตน้ำตื้น ในแนวปะการัง โดยรอบ เกาะนางยวน.
4) ห้าม!!.. ใช้แห-อวน จับสัตว์น้ำในแนวปะการัง โดยรอบ เกาะนางยวน.
5) ห้าม!!.. ใช้ปืนยิงปลา บริเวณรอบ เกาะนางยวน.
6) ห้าม!!.. เข้าไปในเขตที่พักก่อนได้รับอนุญาต.

เรื่องราวต่างๆ ของ เกาะเต่า เกาะนางยวน

แยกประเภทประชากร เกาะเต่า เกาะนางยวน แยกตามประเภทประชากรบน เกาะเต่า และเกาะนางยวน สรุปโดยรวมจากทั้งหมด 100% แบ่งเป็นผู้ประกอบการ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 95% , นักท่องเที่ยวชาวไทย 2% , แรงงานไทย และผู้ประกอบการบนเกาะเต่า 1% , แรงงานต่างด้าว 2% ที่นี่จึงดูเหมือนต่างประเทศที่คราคร่ำไปด้วยชาวต่างชาติ นักท่องเที่ยวชาวไทยหลายคนมาแล้วเปรยเป็นเสียงเดียวกันว่า "เหมือนได้มาอยู่เมืองนอก" หากแต่ในสายตาของชาวต่างชาติมักเข้าใจไปว่านี่คือ " ประเทศ เกาะเต่า " ไม่ผิดเท่าใดนักที่จะคิดเช่นนั้น เพราะธุรกิจบน เกาะเต่า ส่วนใหญ่มีนักลงทุนชาวต่างชาติเป็นหุ้นส่วนร่วมอยู่ด้วย หรือ ผู้ประกอบการคู่สามี - ภรรยา มักมีคนใดคนหนึ่งเป็นชาวต่างชาตินั่นเอง.

แนะสิ่งจำเป็นในการเที่ยว เกาะเต่า เกาะนางยวน เพิ่มเติม ได้แก่ ไฟฉาย , อาหารขบเคี้ยว (ยังชีพนิดหน่อย) , รองเท้าฟองน้ำแบบหุ้มส้น (ช่วยพยุงตัว และป้องกันอันตรายจากปะการังขณะดำน้ำตื้น) , กล้องถ่ายรูปใต้น้ำ , ของใช้ส่วนตัวอื่นๆ , น้ำดื่มสักขวด (ติดตัวไว้). ให้ระวังของใช้ต่างๆ ที่นำติดตัวมาที่เป็นโลหะทั้งหลาย เมื่อกลับถึงบ้านแล้วล้างน้ำจืดได้ให้รีบล้าง (น้ำทะเล เกาะเต่า เค็มมาก) เช่น กางเกงที่เป็นซิปโลหะ กล้องที่เป็นโลหะ หรือนาฬิกา เพียงแค่นั่งเรือผ่านแล้วปล่อยทิ้งไว้ 1 - 2 อาทิตย์ ซิปโลหะทั้งหลายก็จะรูดไม่ได้ ต้องทิ้งสถานเดียว ของใช้โลหะอื่นๆ ก็เช่นกัน.

วันหยุดที่นักท่องเที่ยว...นิยมมาเที่ยว เกาะเต่า เกาะนางยวน ตามวันหยุด หรือเทศกาลต่างๆ ต้องจองที่พัก + ตั๋วเรือ + แพ็คเก็จต่างๆ ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 2 เดือน หรือจะให้ชัวร์ๆ ก็จองกันล่วงหน้า 3 - 4 เดือนไปเลย อย่าคิดเป็นเล่นไปนะครับ อะไรจะขนาดนั้นสำหรับเทศกาล ถ้าช้า... อาจจะเกิดเหตุผิดหวัง เพราะเคยเกิดเหตุการณ์หาวกินเดือนกับนักท่องเที่ยวมาแล้วหลายท่านและทุกงานไป ต้องวางแผนล่วงหน้าสักนิด ได้แก่ เทศกาลวันขึ้นปีใหม่ , ตรุษจีน , สงกรานต์ , วันแรงงาน , อาสาฬหบูชา - เข้าพรรษา , วันแม่แห่งชาติ , ออกพรรษา , วันปิยะมหาราช , ลอยกระทง , วันพ่อแห่งชาติ , วันรัฐธรรมนูญ , วันคริสมาส และอื่นๆ ที่เป็นช่วงเทศกาล.


ปลานกกระจอก หรือนางเอ่น
ระหว่างนั่งเรือจากชุมพรมายัง เกาะเต่า เกาะนางยวน จะได้พบเห็นปลานกกระจอก ซึ่งเป็นปลาตัวเล็ก ๆ ที่บินได้ มันจะโผขึ้นเหนือน้ำอย่างรวดเร็ว กางครีบ หูยาวใหญ่พยุงตัวคล้ายปีกนก บินไปในอากาศชั่วระยะหนึ่ง แล้วทิ้งตัวลงหายไปใต้ผิวน้ำ เหตุที่ได้ชื่อว่านกกระจอก เพราะสามารถพุ่งตัวลอยขึ้นเหนือน้ำเป็นระยะทางไกล ถึง 150 ฟุต นาน 13 วินาที ทำให้ดูเหมือนนกที่ถลาบินร่อนอยู่ในอากาศ สาเหตุที่ทำให้นกนี้บินก็เพื่อหนีศัตรูซึ่งได้แก่ ปลาใหญ่ ปลาฉลาม และปลาโลมา ปลานกกระจอกมีลำตัวกลม เรียวยาวคล้ายปลากระบอก ตากลมโต มีครีบหูแข็งแรงยาวมาก เกือบถึงโคนหาง ครีบนี้ใช้สำหรับบิน.

อาหาร การกิน ณ เกาะเต่า - เกาะนางยวน อาหารเกือบทุกชนิดบน เกาะเต่า นำมาจากจังหวัดชุมพรแทบทั้งสิ้น อาหารส่วนใหญ่จึงไม่ใช่อาหารทะเลที่สดอย่างที่เข้าใจ เนื่องจาก เกาะเต่า เกาะนางยวน ไม่มีท่าเรือประมง จึงสังเกตได้ถึงความแตกต่าง เรื่องอาหารทะเลจะไม่สดเหมือนเกาะอื่น เพราะเกาะอื่นๆ มีท่าเรือประมง (แพปลา) เหตุที่ไม่มีท่าเรือแพปลา เนื่องจาก เกาะเต่า มีความกันดานผนวกกับเป็นแหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติทางทะเล อาหารที่ได้ลิ้มรสจึง ไม่ต่างจากอาหารบนฝั่งแผ่นดินใหญ่ เท่าใดนัก คิดว่ามาเที่ยวธรรมชาติของความเป็น เกาะเต่า เกาะนางยวน กันดีกว่า.

กรกฎาคม - สิงหาคม โชคดีเจอปลาวาฬ ณ เกาะเต่า ช่วงฤดูท่องเที่ยวเดือน กรกฎาคม - สิงหาคม ทุกปีเป็นช่วงที่น้ำใสที่สุดของ เกาะเต่า เกาะนางยวน เนื่องจากเป็นฤดูที่กระแสน้ำอุ่นไหลพัดผ่านเข้ามาในอ่าวไทย ที่เด่นชัดที่สุดได้แก่ เขต เกาะเต่า เกาะนางยวน ทำให้มีการผลัดน้ำทะเลแลดูใสขึ้น และได้นำพาฝูงปลาที่ออกหากินกับกระแสน้ำอุ่นนี้มาด้วยหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นทั้งปลาเล็กปลาใหญ่ๆ เช่น ปลาวาฬ , ฉลามวาฬ หรือเรียกสั้นๆ ในหมู่นักประดาน้ำว่า "วาฬบรูด้า" ได้แวะมาทักทายและออกหากินในครั้งนี้ เนื่องด้วยความอุดมสมบูรณ์ของแพลงตอน หากนักท่องเที่ยวได้มาเที่ยวช่วงนี้ ถ้าหมั่นสังเกตมองออกไปในทะเล เข้าขั้นว่าโชคดี บางทีอาจเจอปลาวาฬดำโผล่พ่นน้ำ และตีปีกหางเหนือน้ำให้ได้เห็น แต่สำหรับนักดำน้ำลึกแบบสคูบ้าหลายท่านคงเตรียมตัวยินดีด้วย.

มรสุม และการคาดการณ์เรื่องมาเที่ยว เกาะเต่า เกาะนางยวน สำหรับช่วงมรสุมของชุมพรและ เกาะเต่า จะไม่เหมือนทั่วไปกับมรสุมประจำปีโดยรวมของภาคอื่นๆ ของไทย โดยภาคอื่นๆ ส่วนใหญ่พอเข้าหน้าฝน ช่วงเดือน พฤษภาคม ถึง กรกฎาคม จะมีฝนตกหนัก และมรสุมเข้า โดยเฉพาะมรสุมประจำปี คือ มรสุมลมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดผ่านมาจากตอนใต้ของประเทศจีน ผ่านเข้ามาในช่วงภาคเหนือและภาคกลาง รวมไปถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วย แต่มีบางส่วนที่เป็นส่วนปลายของมรสุมแบบอ่อนกำลัง หลงเหลือผ่านจังหวัดประจวบฯ เข้ามาบ้างประปราย ดูเหมือนไม่แรงเป็นประจำทุกปี สำหรับชุมพร และจังหวัดที่อยู่ล่างลงไป ไม่ได้รับอิทธิพลสำหรับมรสุมนี้จริงจังเท่าใดนัก แต่จะเข้าสู่มรสุมประจำปีเป็นประจำ คือ ชุมพร และจังหวัดอื่นๆ ที่อยู่ล่างลงไป เป็นมรสุมประจำปี ช่วง ปลายเดือนตุลาคม ถึงช่วงต้นเดือนมกราคมของปีถัดไป ทางการจะประกาศห้ามออกเรือโดยเด็ดขาดในบางช่วงที่มรสุมเข้าเขตนี้อย่างจัง

วิธีปฏิบัติตน "ไม่ให้เมาเรือ" ที่ เกาะเต่า เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติตนไม่ให้เมาเรือขณะอยู่บนเรือเดินทางจาก ชุมพรไป เกาะเต่า หรือ เกาะเต่า ไปชุมพร เนื่องจากเราต้องนั่งเรืออย่างน้อยก็ 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 3 ชั่งโมง ได้แก่ 1. ห้ามอ่านหนังสือบนเรือเป็นเวลานานๆ 2. หากิจกรรมทำบนเรือที่ทำแล้วรู้สึกตื่นเต้นนิดๆ เช่น ฟังเพลงที่เราชอบมากๆ , เล่นเกมส์กันเบาๆ ในกลุ่ม (เล่นต่อคำ , ลำไพ่แต่ห้ามเล่นการพนัน , หมากรุก-หมากฮอส ฯลฯ ) 3. ห้ามนั่งมองคลื่นน้ำด้านข้างเรือขณะเรือแล่นเป็นเวลานานๆ ถ้าไม่มีที่มองให้มองทะเลออกไปกว้างๆ 4. เป็นไปได้ควรเลี่ยงการบริโภคอาหารบนเรือ ถ้าอาเจียนขึ้นมาเป็นต้องอายทุกรายไป แต่ทั้งนี้กิจกรรมทุกอย่างบนเรือทำได้โดยไม่รบกวนผู้โดยสารคนอื่นๆ กิจกรรมที่ง่ายสุดเห็นจะเป็นการหลับเป็นวิธีเบสิคที่เข้าท่าที่สุด.

เที่ยวรอบ เกาะเต่า เกาะนางยวน การเที่ยวรอบเกาะส่วนใหญ่ของ เกาะเต่า เริ่มจาก เกาะฉลาม แต่สมัยนี้ปลาฉลามไม่ขึ้นมาโชว์ตัวเหมือนสมัย 4 - 5 ปีที่แล้ว ถ้าอยากดูอยากเจอฉลาม ต้องดำน้ำแบบสคูบ้า และถัดไปเป็นแหลมเทียน ปลากระบอก (สีเทาคล้ายปลาช่อน) เยอะมาก หลากหลายพันธุ์ปลาสวยงาม สามารถยืนให้อาหารปลาได้ ถัดไปก็จะเป็นอ่าวหินวง จุดนี้มากมายไปด้วยปะการังนานาชนิด และฝูงปลานานาพันธุ์ ที่เด่นๆ ได้แก่ ปลานกแก้ว , ปลาตะกับ (ปลาลายเสือ) , ปลาการ์ตูนหลายชนิด และปะการังที่เด่นๆ ได้แก่ ปะการังเขากวางสี มีสีขาว - สีม่วง - สีแดงเปลือกมังคุด - สีฟ้า - สีเหลือง จุดดำน้ำ ณ อ่าวหินวงนี้ เป็นที่ดำน้ำลึก สำหรับนักดำน้ำสน็อกเกิ้ล จะต้องลอยตัวระดับผิวน้ำชมปลาและปะการังบนผิวน้ำ และถัดไปเป็นอ่าวม่วง หลากหลายพันธ์ปลานานาชนิด ตรงโขดหิน ณ อ่าวนี้ จะเป็นร่องน้ำอุ่นพอเหมาะ ทำให้แพลงตอนเจริญได้ดี สังเกตได้จากฝูงปลาออกหากินเป็นฝูงมหึมา มีหลายชนิด และปะการังสวย อ่าวนี้ได้รับฉายาเป็นอ่าวน้ำสวย เพราะน้ำใสเป็นสีครามอ่อนๆ มองดูเย็นสบายตา สามารถมองเห็นพื้นทราย และปะการังใต้น้ำได้อย่างชัดเจน.

ท่องราตรี เกาะเต่า สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากเที่ยว เกาะเต่า ยามค่ำคืน เช่น เดินเที่ยวตามชายหาด ที่ทอดยาว เป็นระยะทางหนึ่งกิโลเมตรกว่าๆ สถานที่เดินเที่ยวยามค่ำคืนของ เกาะเต่า แนะนำให้เป็นการเดินเล่น ณ หาดทรายรี มีข้อดีหลายอย่าง คือ ไม่เปลี่ยว และมีแสงสว่างพอเหมาะแต่ไม่ใช่สว่างจ้า เหมาะแก่การเดินหาดพูดคุยกันไปเรื่อยๆ และช่วงที่เดินตามชายหาด จะแลเห็นแสงไฟตามร้านอาหารต่างๆ ประดับประดาได้สวยงาม บางร้านก็จัดปาร์ตี้กันได้สนุกสนาน โดยร้านส่วนใหญ่จะแข่งกันประดับแสงไฟแข่งกัน เพื่อดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยว ที่โดดเด่นก็มีหลายร้านที่ทำตะเกียงทรายขึ้นมาเอง บนหาดสวยมากเมื่อแสงตะเกียงกระทบกับน้ำทะเล เกิดแสงระยิบระยับจับตา นั่งดื่มริมหาด หรือบนหาดทรายระรื่นใจดีแท้ เพราะบรรยากาศยามค่ำคืนเย็นสบายๆ โปร่งดีมาก.

แง่คิดเล่นๆ เกี่ยวกับเกาะเต่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เมื่อขึ้นไปถึงจุดชมวิว "จอนห์ - สุวรรณ" แล้ว จะเห็นวิวของ เกาะเต่า ได้ค่อนข้างกว้าง และพยายามมองรูปลักษณ์ของ เกาะเต่า ที่เห็นให้เป็นตัวเต่า จินตนาการได้เหมือนบ้างไม่เหมือนบ้าง หากดูในแนว Top Side จะคล้ายกับเม็ดถั่วมากกว่า โดยที่มาที่ได้ชื่อว่า " เกาะเต่า " คือ ที่นี่มีเต่าทะเลอาศัยอยู่เยอะมาก (เมื่อสมัยแต่ก่อน) เมื่อถึงฤดูวางไข่ เต่าทะเลจะขึ้นมาวางไข่ที่นี่ และหากได้ดำน้ำลึกแล้ว นักท่องเที่ยวมีโอกาสที่จะได้พบเจอเต่าทะเลขนาดใหญ่ ค่อนข้างบ่อย.

เทคนิคการใช้หน้ากากดำน้ำ โดยไม่ต้องใช้ถังออกซิเจนที่ เกาะเต่า เกาะนางยวน สน็อกเกิ้ลเป็นอุปกรณ์ดำน้ำ (ตื้น) ขั้นพื้นฐาน และอย่างง่ายสำหรับนักดำน้ำทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นมือสมัครเล่น หรือมืออาชีพ หรือผู้ที่เพิ่งจะหัดใช้หน้ากาก + ท่อหายใจ (สน็อกเกิ้ล) มีวิธีและขั้นตอนง่ายๆ ที่จะมาแนะให้ทราบ ตามลำดับดังนี้ 1) จัดสายรัดหน้ากากให้พอเหมาะกับรูปลักษณ์ของศรีษะให้พอดี ไม่แน่นจนเกินไป คือแน่น แต่ไม่แน่นมาก เพราะถ้าแน่นมากสายรัดจะไปกดเส้นเลือดให้ไปหล่อเลี้ยงสมองช้า สังเกตได้จากเอามือนวดศรีษะแล้วจะรู้สึกชาที่ศรีษะ ต้องให้รีบทำการคลายสายใหม่ 2) การไล่ฝ้าหน้ากากขณะดำน้ำ ให้ทำการดึงหน้ากากออกมานิดเดียว แล้วดำน้ำหรือจุ่มน้ำลงไปทั้งศรีษะพร้อมกัน โดยไม่ต้องถอดหน้ากากออกจากศรีษะ แล้วโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ตะแคงหน้ากากเพื่อให้น้ำออก แล้วก็จัดรูปหน้ากากให้ใบหน้าให้เข้าที่ปกติ 3) การใช้ท่อหายใจ ก่อนทำการอมหรือคาบท่อหายใจให้ทำความสะอาดอย่างง่าย โดยจุ่มล้างลงไปในน้ำทะเลประมาณ 1 - 2 นาที 4) การใช้หน้ากากและท่อหายใจควบคู่กัน การครอบหน้ากากบนใบหน้าให้ครอบจมูกและตา แต่ไม่ครอบปาก เพราะ ปากจะต้องเอาไว้คาบท่อสำหรับหายใจ โดยท่อหายใจจะต้องชี้ขึ้นฟ้าให้ได้ตั้งฉาก ไปทางด้านหลังกับศรีษะให้มากที่สุด ขณะลอยตัวอยู่ในระดับผิวน้ำ5) การกลั้นหายใจ ขณะดำน้ำลงไปในระดับน้ำลึกร่วม 8 - 10 เมตร โดยมีขั้นตอนดังนี้ ให้สูดลมเข้าปอดขนาดปานกลาง ไม่มาก สังเกตได้จากการสูดอากาศเข้าไปแล้วไม่ทำให้แน่นหน้าอก เพราะถ้าอากาศในปอดมากจะทำให้เราดำน้ำลำบาก ไม่คล่องตัว และขณะที่ดำน้ำลงไปลึกๆ น้ำทะเลจะบีบดันหน้ากากมากรู้สึกได้จากการเกิดอาการปวดตา และถ้าหากรู้สึกว่าแน่นมากแล้วให้ทำการคลายหน้ากากใต้น้ำ โดยการปล่อยอากาศในปอดผ่านจมูก คือหายใจทางจมูกให้อากาศเข้าไปในหน้ากากทีละนิด จนรู้สึกถึงการคลายได้เองของหน้ากากเข้าสู่ภาวะปกติ แล้วทำการดำน้ำลึกต่อไป หากเกิดอาการรู้สึกแน่นที่หน้ากากอีกก็ให้ทำซ้ำแบบนี้เช่นเดียวกัน เพื่อคลายหน้ากากไม่ให้รัดแน่นจนเกินไป สำหรับผู้ที่ชำนาญแล้วจะรู้เทคนิคการปล่อยลมที่พอเหมาะ ฟึ๊ดเดียว หน้ากากก็คลายเข้าสู่สภาวะปกติได้โดยง่ายและเร็ว คุณก็สามารถทำได้ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด.

ที่พักบน เกาะเต่า เกาะนางยวน ที่พักบน เกาะเต่า เกาะนางยวน ถึงจะไม่เพอร์เฟคเหมือนกรุงเทพฯ แต่ก็มีองค์ประกอบเกือบสมบูรณ์ เพียงแต่จะแตกต่างกันบ้างในเรื่องของ คุณภาพเกรดวัสดุที่ใช้ เช่น ห้องน้ำ , สำหรับทีวี มีไม่ครบทุกรีสอร์ท , ห้องพักบางที่เป็นไม้ หรือปูนซีเมนต์ หรืออิฐบล๊อค แตกต่างกันไป เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของแต่ละที่ เรื่องมาตรฐานการจัดระดับดาวของแต่ละรีสอร์ทบน เกาะเต่า ไม่เหมือนบนแผ่นดินใหญ่ คือ ให้ลดดาวที่เกาะเต่าลงหนึ่งดาวตามแสดงไว้ในเว็บ เกาะเต่า ทูเดย์ จึงจะได้ระดับเท่ากับมาตรฐานโรงแรมทั่วไปบนแผ่นดินใหญ่ ( ต้องขออภัย บางรีสอร์ทที่ได้อัพมาตรฐานระดับดาวเพิ่มขึ้นจากเดิมแล้ว โดยมิได้แจ้งให้ทีมงาน เกาะเต่า ทูเดย์ ทราบถึงข้อมูลรีสอร์ทในกาลเวลาปัจจุบันของท่าน หากรีสอร์ทใดต้องการแจ้งข้อมูลเพิ่มเติม ส่งอีเมล์แจ้งทีมงาน เกาะเต่า ทูเดย์ ที่ info@kohtaotoday.com ) ส่วนที่พักที่มีสระว่ายน้ำไว้คอยบริการนั้น ห้องพักจะมีราคาค่อนข้างสูง เพราะส่วนใหญ่รีสอร์ทที่มีสระว่ายน้ำ เน้นมีไว้สำหรับให้นักเรียนดำน้ำสคูบ้าเท่านั้น ไม่ได้มีไว้ให้บริการกับลูกค้าที่เข้ามาพักทั่วไป เพราะน้ำจืดมีราคาแพง (มาก) บางที่ก็มีไว้บริการลูกค้าทั่วไปต้องสอบถามทางรีสอร์ทให้ดีก่อนลงไปว่ายน้ำในสระ สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทย อย่าได้น้อยใจเลย ที่มันออกจะดูกันดานไปหน่อยสำหรับการดำรงชีพ หากมองในส่วนกลับของธรรมชาติในความกันดานของ เกาะเต่า ผนวกกับธรรมชาติอันสมบูรณ์ใต้ท้องทะเลนี้ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวทุกสารทิศจากทั่วโลกหลั่งใหล และใฝ่ฝันอยากที่จะมาเที่ยว เกาะเต่า เกาะนางยวน เป็นอันดับต้นๆ. ต้องการห้องพักที่ลดราคาแล้วพิเศษ ให้ติดต่อได้กับทีมงาน เกาะเต่า ทูเดย์ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้นักท่องเที่ยวประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่องที่พักนี้ได้ไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับราคาห้องพักแต่ละที่ๆ นักท่องเที่ยวเลือก ด้วยเหตุผลที่ได้ราคาพิเศษนั้น เนื่องจากราคาขายห้องพักหน้าร้านที่รีสอร์ทต่างๆ บนเกาะเต่า เกาะนางยวน ขายตามปกติ แต่เมื่อซื้อในราคาเอเยนซี่โดยผ่าน เกาะเต่า ทูเดย์ นักท่องเที่ยวก็จะได้ในราคาถูกลงจากเดิมที่นักท่องเที่ยวต้องจ่ายค่าห้องกับทางรีสอร์ทเอง และสามารถดูราคาห้องพักอัพเดทปัจจุบันได้ที่เว็บไซต์ของแต่ละรีสอร์ทโดยตรง แล้วแจ้งห้องพักที่ต้องการกับ เกาะเต่า ทูเดย์ เป็นผู้จัดหาที่พักบน เกาะเต่า ให้ในราคาพิเศษ และที่สำคัญยังได้ส่วนลดในราคาประหยัดจากราคาขายตามปกติ ตามหน้าเว็บของแต่ละรีสอร์ทอีกด้วย.

พักผ่อนด้วยการลงเล่นน้ำทะเล เกาะเต่า ข้อแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีความประสงค์ ต้องการพักผ่อนด้วยการลงเล่นน้ำ หรือว่ายน้ำทะเล เกาะเต่า เกาะนางยวน ได้แก่ หาดทรายรี , แม่หาด และหาดอ่าวโฉลกบ้านเก่า ควรลงว่ายน้ำไม่เกินเวลา 16.00 น. ซึ่งเป็นเวลาน้ำลงมาก หากช่วงเวลาดังกล่าวคุณยังว่ายน้ำอยู่ในทะเล เมื่อว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งจะลำบาก เนื่องจากแขน และขา หรือลำตัว จะไปชนสัมผัสกับปะการัง ทำให้ปะการังถูกทำลายหักพัง อีกทั้งยังเป็นอันตรายกับตัวเองได้ โดยเฉพาะเม่นทะเล ซึ่งมีหนามแหลม และในทางตรงข้ามช่วงเวลา 16.00 น. - 17.30 น. เป็นเวลาที่ปลาออกหากินค่อนข้างมาก และเป็นฝูงมหึมา หากต้องการเชยชมฝูงปลานานาพันธุ์เหล่านั้น แนะนำเป็นการว่ายน้ำทะเล เกาะเต่า ที่มีลักษณะของหาดค่อนข้างน้ำลึก และเอียงชัน หรือไม่มีแนวปะการังอยู่ ได้แก่ อ่าวลึก , อ่าวม่วง ซึ่งตรงนี้เป็นหลังเกาะ ไม่ใช่ฝั่งพระอาทิตย์ตก บางเวลาอาจทำให้มีแสงสว่างไม่สดใสเหมือนช่วงกลางวัน และขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในขณะนั้นด้วย ทำให้วิสัยทัศน์ไม่ดีเท่าที่ควร.

ร้านอาหารแนะนำที่ เกาะเต่า เกาะนางยวน นางยวนไดฟ์ รีสอร์ท เรื่องความสะอาดเป็นที่หนึ่งเมื่อเทียบกับหลายๆ ร้าน บน เกาะเต่า แต่อาหารค่อนข้างแพง ไม่ว่าจะเป็นที่ เกาะเต่า หรือ เกาะนางยวน อาหารทะเลส่วนใหญ่นำมาจากชุมพร เกาะนางยวนยังคงความสดของอาหารมากที่สุด เพราะขนขึ้นเรือทุกเช้า ไม่มีการเก็บอาหารไว้ข้ามคืนข้ามวัน สำหรับ เกาะเต่า นั้นมีร้านอาหารมากมาย ให้บรรยากาศแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานที่ อ่าวโฉลกบ้านเก่า ได้แก่ ร้านพรรีสอร์ท , ร้านอาหารลอยน้ำธาราพร , ร้านอาหารของ เกาะเต่า รีสอร์ท , ร้านอาหารวิวพอยต์ และยังมีอีกมากซึ่งส่วนใหญ่แต่ละรีสอร์ท มีร้านอาหารไว้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้าพักอยู่แล้ว (รวมลูกค้าทั่วไปด้วย). แม่หาด มีร้านอาหารหลากหลายทั้งอาหารไทย และต่างชาติ เนื่องจากจุดนี้เป็นตลาดของ เกาะเต่า นั่นเอง. หาดทรายรี มีร้านอาหารมากที่สุดบน เกาะเต่า หลากหลายบรรยากาศ บางร้านถึงกับบริการลูกค้าโดยเสิร์ฟอาหาร และจัดโต๊ะให้บนหาดทราย หรือในระดับน้ำทะเลปริ่มข้อเท้ากันเลย แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารริมชายหาด จึงจะดูเหมาะสมในการเรียกใช้บริการแบบนี้.

เอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกิน เกาะเต่า เกาะนี้เคยได้รับการประกาศให้เป็นเรือนจำคุมขังนักโทษสมัยกบฏบวรเดชเมื่อ กว่า 50 ปีที่แล้วทั้งเกาะ ที่ดิน เกาะเต่า จึงเป็นที่ราชพัสดุ ภ.บ.ท 5 (ภาษีบำรุงท้องที่) ผู้ประกอบการ เกาะเต่า ที่ต้องการ ภ.บ.ท 5 ควรไปตรวจสอบเสียก่อนว่ามีสัญญาเช่าที่ดินรายใดเช่าทับที่ ภ.บ.ท 5 ที่จะซื้อนี้หรือไม่ หากตรวจแล้วพบว่าไม่มี เมื่อซื้อเรียบร้อยแล้ว ควรไปขอทำสัญญาเช่ากับธนารักษ์ทันทีเพื่อป้องกันความเสียหาย ดังนั้น ภ.บ.ท 5 จึงเป็นเพียงสิทธิการเช่าที่ทาง หน่วยงานส่วนท้องถิ่น (จังหวัดสุราษฎร์ธานี) ออกเป็นหนังสือให้ว่าได้ทำประโยชน์ในที่ดินเท่านั้น. ข้อมูลเบื้องต้นที่ได้จากการสัมผัส และรับรู้ในเรื่อง ภ.บ.ท 5 ที่ เกาะเต่า คิดเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปีเพียงไม่กี่ร้อยบาท แต่หากว่าเจ้าของสิทธิ์ถือเอาสิทธิตามหนังสือ ภ.บ.ท 5 ซึ่งออกให้โดยกรมธนารักษ์นั้นไปบอกขายต่อผู้อื่น ในราคานอกรอบที่มีมูลค่าสูงมาก ถึงกับเป็นเลขแปดหลักกันเลยทีเดียว หากท่านใดต้องการเช่าที่ดินบน เกาะเต่า แล้วคงต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบมากขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อที่จะไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพนั่นเอง พาลเข้าตำราซื้อที่แล้วไม่ได้ที่ โดยเฉพาะนักลงทุนชาวต่างชาติผิดหวังมาแล้วหลายราย.

ประวัติ และเรื่องราวความเป็นมาของเกาะเต่า



เกาะเต่าเป็นเกาะเล็กๆ โดดเดี่ยวกลางอ่าวไทยห่างไกลจากผืนแผ่นดินใหญ่ โดยรอบเป็นเกาะซึ่งเต่าตนุขึ้นไปวางไข่ และไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย ดังนั้นเมื่อเกิดสงครามแปซิฟิกขึ้น รัฐบาลเกรงว่าอังกฤษอาจจะมาช่วงชิงตัวนักโทษการเมืองหนีไปจากเกาะตะรุเตา ซึ่งอยู่ชายแดนฝั่งมหาสมุทรอินเดียได้ จึงได้ตั้งงบประมาณก้อนใหญ่สำหรับทำการหักร้างถางป่าสร้างเกาะเต่าเป็นสถานกักกันนักโทษการเมือง โดยเฉพาะนักโทษสามัญมีแต่พวกที่มาช่วยเจ้าหน้าที่เรือนจำ ทำงานหุงต้มในครัวทำความสะอาด และรับใช้ครอบครัวพัศดี และเจ้าหน้าที่เรือนจำเท่านั้น โรงขังได้สร้างอย่างแน่นหนาอยู่ ภายในรั้วรอบขอบชิด ส่วนบ้านพักของผู้อำนวยการเกาะ เจ้าหน้าที่เรือนจำและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้สร้างอย่างสวยงามทันสมัย มีถังเก็บน้ำใหญ่จุน้ำได้ ถึง 3,000 แกลลอน. แต่ขณะที่นักโทษการเมืองไปถึงนั้นปรากฏว่าถังน้ำใหญ่นี้ได้พังทลายลง จนใช้การไม่ได้นั่นแสดงให้เห็นชัดว่าเกาะเต่าไม่มีแหล่งน้ำและนักโทษการเมืองจะต้องประสพกับปัญหาเรื่องขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ ทางการค่ายคุมขังได้ขุดบ่อเล็กๆขึ้นแทนเมื่อนักโทษการเมือง 54 คน ต้องใช้น้ำพร้อมกันในเวลาจำกัด น้ำไหลซึมออกมาไม่พอที่จะใช้ได้ทั่วถึง นักโทษการเมือง จึงต้องซื้อน้ำอาบน้ำกินด้วยราคาแพง. ในระยะเดือนแรกที่ไปถึงที่นั่น พัศดีเพี้ยน อนุโรจน์ ผู้อำนวยการเกาะได้ให้เกียรติ และปฏิบัติต่อนักโทษการเมืองอย่างดี ตามแบบฉบับที่ควรปฏิบัติต่อนักโทษการเมือง คือ ในตอนกลางวันอนุญาตให้นักโทษการเมืองออกจากบริเวณรั้วท่องเที่ยวไปตกปลาหาพืชผักเป็นอาหารได้โดยเสรี ทั้งนี้โดยถือว่าเกาะเต่าเป็นเกาะซึ่งอยู่โดดเดี่ยวไม่มีเกาะอะไรอยู่ใกล้เคียง และมีทะเลเป็นรั้วรอบอยู่แล้ว ในเวลากลางคืนจึงได้จำกัด ให้นักโทษการเมืองอยู่ในบริเวณรั้วกั้น แต่เพียงชั่วเวลาไม่นาน การปฏิบัติต่อนักโทษการเมืองดีเกินไป ยังผลให้พัศดีเพี้ยน ผู้นี้ต้องถูกสั่งย้ายจากเกาะเต่าโดย พันตำรวจเอกพระกล้ากลางสมร (มงคล หงสไกร) อธิบดีกรมราชทัณฑ์ขณะ นั้นเห็นว่า เป็นการปล่อยปละนักโทษการเมืองเกินไป ร้อยตรีพยอม เปรมเดชา ได้มาเป็นพัศดีแทน โดยมี จ่าผ่อน หนูรักษา เป็นผู้ช่วย ในทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง เขาก็สั่งกักขังนักโทษการเมืองไว้ในเรือนขังในเวลา กลางคืน และกักให้อยู่ในบริเวณรั้วในเวลากลางวัน นักโทษการเมืองจึงหมดโอกาสที่จะไปตกปลา หาหอย หาปู และพืชผักมาเป็นอาหาร จำต้องกินอาหารอันแร้นแค้น และขาดคุณภาพซึ่งทางเรือนจำจัดหาให้ ร่างกายจึงขาดอาหาร และผ่ายผอมอ่อนแอ จนไม่อาจต้านทานต่อเชื้อไข้จับสั่นที่เป็นมาแล้วจากเกาะตะรุเตา เมื่อได้รับ เชื้อใหม่อันร้ายแรงของเกาะเต่า ซึ่งเป็นที่ๆ เพิ่งหักร้างถางพงใหม่ๆ และฝนตกชื้นเสมอ นักโทษการเมืองจึงเป็น ไข้จับสั่นกันแทบทุกคน ความคับแค้นประการสำคัญที่สุดก็คือการติดต่อส่งข่าวคราวทางจดหมายกับญาติเป็นไปด้วยความลำบากอย่างยิ่ง เพราะเรือไม่มีเชื้อเพลิงทั้งเรือดำน้ำทางฝ่ายสัมพันธมิตรก็ยุ่มย่ามมากขึ้น. เรือเสบียงจึงเดินทางมาเกาะเต่าเพียงเดือนละครั้ง แต่มีน้อยครั้งที่จะมีจดหมายถึงนักโทษการเมืองทั้งนี้จะเป็นเพราะเหตุใดก็สุดจะเดา พัศดีพยอมได้ชี้แจงว่าจดหมายต่างๆ ที่ส่งไปถึงญาตินั้นจะต้องผ่านการตรวจของเจ้าหน้าที่เรือนจำเสียก่อน อย่างไรก็ตาม นักโทษการเมืองแทบจะไม่ได้รับจดหมายหรือข่าวคราวตอบจากญาติเลย. นั่นหมายถึงการขาดแคลนเงินทอง เครื่องอุปโภคบริโภค และที่ร้ายที่สุดคือการขาดแคลนยาที่จะใช้บำบัดรักษาโรค ทางการเรือนจำก็ไม่ยอมจ่ายยาหรือดูแลรักษาแต่ประการใด ข้าวของเงินทองที่ญาติส่งไปให้ ก็หายตกหล่นเสียเป็นส่วนใหญ่ นักโทษการเมืองแทบไม่ได้รับเครื่องอุปโภคบริโภค และยาที่ทางบ้านส่งไปเลย มารดาของสอ เสถบุตร ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะส่งของไปให้บุตรชาย แต่ของเหล่านั้นก็ไปไม่ถึง ยาเท่าที่จะหาได้นั้นได้จากการต้องซื้อจากเจ้าหน้าที่เรือนจำด้วยราคาแพงลิบลิ่ว ซึ่งยานั้นอาจเป็นยาซึ่งญาติของ นักโทษการเมืองนั่นเองที่ส่งไปให้. ต่อมาพระกล้ากลางสมร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ขณะนั้น ได้มีคำสั่งให้นักโทษการเมืองที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปีทั้งหมด ทำงานกรรมกรเช่นเดียวกับนักโทษสามัญ ทั้งนี้เป็นการทำผิดกฎของเรือนจำที่ว่า นักโทษการเมือง ซึ่งถือกันว่าเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม ย่อมได้รับการยกเว้นมิให้ต้องทำงานกรรมกร หากให้ทำงานช่วยเจ้าหน้าที่ ควบคุมงาน หรือทำงานกี่ยวกับหนังสือหรือการบัญชีเท่านั้น เบื้องหลังของคำสั่งนี้ก็คือ การทำงานกรรมกร จะทำให้นักโทษการเมืองได้มีโอกาสออกกำลังกาย อันเป็นการต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บให้เบาบางลง ในการทำงาน กรรมกรนั้น นักโทษการเมืองได้ถูกเกณฑ์ให้ออกไปทำงานในป่า โดยแบ่งออกเป็นหมู่ๆ หมู่ละ 5 คนบ้าง 6 คน บ้างงานที่ถูกกำหนดให้ทำนั้นมีทั้ง ทำถนน ถางป่า โค่นต้นไม้ ดายหญ้า ปราบที่สำหรับทำไร่ถั่ว และไร่มันสำปะหลังซึ่งผลิตผลทางการเกษตรเหล่านี้เป็นสมบัติของค่ายคุมขังทั้งสิ้น. อันการกลั่นแกล้งให้นักโทษการเมืองต้องทำงานหนัก กรำแดดกรำฝนในขณะที่เป็นไข้จับสั่น ตลอดจน การตัดหนทางมิให้ญาติได้มีโอกาสส่งเครื่องอุปโภคบริโภค และยารักษาโรคไปให้นักการเมืองนั้น เป็นเสมือน คำสั่งประหารชีวิตนักโทษการเมืองโดยแท้ เพราะการขาดแคลนเงิน อาหาร ยารักษาโรคในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งเต็มไปด้วยเชื้อไข้จับสั่นอันร้ายแรง ย่อมหมายถึงความตาย อันที่จริงแล้ว นักโทษการเมืองเท่าที่เหลืออยู่นี้ ล้วนเป็นผู้ที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่เมื่อได้รับการลดหย่อนโทษในวาระพิเศษต่างๆ ประกอบกับเป็นผู้ ประพฤติตนดี โทษที่ได้รับจึงเหลือเวลาอีกเพียงสองปีเศษๆ เท่านั้น ดังนั้นหากพวกนักโทษการเมืองรุ่นนี้ได้รับ การปลดปล่อยให้พ้นโทษ ก็อาจจะกลับมาเป็นเสี้ยนหนามของรัฐบาลขณะนั้นได้ วิธีที่ดีที่สุดที่จะตัดไฟแต่ต้นลม ก็คือ กลั่นแกล้งและบีบคั้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพื่อให้นักโทษการเมืองรุ่นนี้ ต้องมีอันเป็นไป จนสูญสิ้นชีวิตที่เกาะเต่า ด้วยพิษไข้จับสั่น และความอดอยาก. ผลของการออกไปกรำแดดกรำฝนทำงานหนักในป่า ในระหว่างฤดูฝนของปี 2486 นั้นเอง ทำให้นักโทษการเมืองซึ่งไม่เคยกับการทำงานหนัก ร่างกายขาดอาหารผ่ายผอมอ่อนแอ และมีเชื้อไข้จับสั่นอยู่แล้วได้รับเชื้อไข้ป่า หรือไข้จับสั่นอย่างร้ายแรงเข้าอีกจึงกำเริบหนัก และระบาดแพร่หลายไปอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ชีวิตของนักโทษการเมืองต้องสูญสิ้นไปถึงหกคน ในช่วงระยะเวลาเพียงหกสัปดาห์ คนแรกที่ต้องสิ้นชีวิต บนเกาะเต่าด้วยพิษไข้จับสั่นขึ้นสมอง คือ ร้อยเอกหลวงจักรโยธิน (ม.ล.บุษ อิศรางกูร ณ อยุธยา) ขณะที่ หลวงจักรโยธินไข้ขึ้นสูง ดิ้นทุรนทุรายพร่ำเพ้อเรียกหาแต่ลูกเมีย อาการหนักอยู่ในขั้นอันตราย พระยาจินดา จักรรัตน์ ได้บริจาคยาฉีดแอตตาบรินให้หนึ่งหลอด อาการก็ยังไม่ทุเลาลง หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร จึงประทานยาแคมเฟอร์ให้อีกหนึ่งหลอดก็หาประโยชน์อะไรมิได้ ด้วยหลวงจักรฯ ได้สิ้นชีวิตลงในเวลาอีกไม่กี่ ชั่วโมงต่อมา. พระแสงสิทธิการติดตามหลวงจักรฯ ไปเป็นคนที่สองด้วยไข้จับสั่นอีกเช่นกัน ต่อมา อ่ำ บุญไทย นักหนังสือพิมพ์ เจ้าของนามปากกา “แม่น้ำโขง” ก็ได้จบชีวิตลงเป็นคนที่สาม ด้วยโรคท้องมาน โรคนี้ได้ก่อความทุกข์ทรมานให้แก่อ่ำ บุญไทย อย่างยิ่งเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม นายแพทย์ซึ่งเป็นนักโทษต้องคดีฆ่าภรรยาตายได้เดินทางไปเกาะเต่า พร้อมกับเรือเชวงศักดิ์สงคราม เพื่อทำการเจาะท้องให้ อ่ำ บุญไทยจนท้องยุบเป็นปกติ แต่เพียงระยะเวลาไม่กี่วันท้องของอ่ำ กลับโตใหญ่ขึ้นอีกเมื่อไม่มีนายแพทย์เจาะท้องให้อ่ำจึงใช้ตะปูซึ่งฝน จนแหลมเจาะท้องของตนเองอีกหลายครั้งหลายหน จนในที่สุดเขาก็สิ้นสุดชีวิตและสิ้นความทรมานทั้งปวง. คนที่สี่ที่สิ้นชีวิตด้วยไข้จับสั่นในเวลาไล่เลี่ยกับอ่ำ บุญไทย ก็คือ สิบโทศาสตร์ คชกุล ศาสตร์เป็นคนตัวคนเดียว ไม่เคยมีญาติพี่น้อง หรือผู้หนึ่งผู้ใดส่งเสียเขา ตลอดเวลาที่เขาต้องโทษ ภรรยาของเขาได้ทอดทิ้งเขาไปในทันที ที่เขาต้องถูกจำคุก สอ เสถบุตร ได้ให้ความอุปการะช่วยเหลือแก่ศาสตร์ตลอดเวลา ทั้งในเรื่องเงิน เสื้อผ้า อาหารการกินและยา “ไทยน้อย” ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่องค่ายคุมขังนักโทษการเมืองว่า “ความเป็นอยู่ของเราในค่าย ได้มีพื้นฐานอยู่ในคติที่ว่า ตัวใครตัวมัน เพราะทุกคนเท่ากับลอยคออยู่ในห้วงมหาสมุทร อีเมตินเม็ดหนึ่งหรือควินินเม็ดหนึ่ง หมายถึงชีวิต ในที่นี้เราน่าจะอนุโมทนาแก่น้ำใจอันงดงามของ หลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เสถบุตร) ซึ่งช่วยทั้งยา เงินและอาหารแก่ศาสตร์ เพื่อจะประคับประคองชีวิตของเขา ไว้จนสุดความสามารถ ตลอดจนเสื้อผ้าก็พยายามว่าจ้างคนซักฟอกให้ตามสมควร แต่ในที่สุด ศาสตร์ก็ต้อง จากเราไปอย่างไม่มีวันกลับ ” สอ เสถบุตร เล่าว่าในสภาพแวดล้อมอันคับแค้น ซึ่งขาดทั้งยา และอาหารเช่นนั้น การให้ยาแก่เพื่อนซึ่ง กำลังจะตาย อาจหมายถึงความตายของตัวเองในเวลาต่อไปเมื่อหมดยา ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องของการตัดสินใจ ที่ยากยิ่งระหว่างมนุษยธรรมกับสัญชาตญาณของการอยู่รอด นักโทษการเมืองทุกคนต้องระวังสุขภาพ และใช้วิธีบำบัดรักษาโรคด้วยตนเอง เจ้าหน้าที่เรือนจำมิได้ เหลียวแลหรือให้การบำบัดรักษาแต่อย่างใด ยาควินิน แอตตาบริน หรืออิเมตินแต่ละเม็ดมีความหมายต่อชีวิต ของแต่ละคน การมียาโดยจำกัดทำให้แต่ละคนใช้วิธีบำบัดรักษาตนเองด้วยวิธีต่างๆ กัน บางคนแบ่งยากิน ทีละน้อยแต่กินเรื่อยๆ จึงเกิดอาการชินกับยา และยาก็มีไม่มากพอที่จะบำบัดโรคซึ่งเป็นอยู่อย่างร้ายแรงให้หาย ขาดได้ บางคนเวลาที่เป็นน้อยอยู่ ถนอมยาไว้ไม่ยอมกิน พอเป็นมากถึงขั้นเพ้อคลั่ง ยาก็เอาไว้ไม่อยู่ เช่นในราย ของพระแสงสิทธิการ เมื่อพระแสงฯ สิ้นชีวิตลงนั้น มียาแอตตาบรินและควินิน ซ่อนอยู่ใต้หมอนและใต้ที่นอน เป็นจำนวนมาก ส่วน สอ เสถบุตร นั้นได้ใช้วิธีที่ว่า โดยปกติเขาจะไม่กินยาป้องกันไว้ก่อน แต่ถ้าโรคไข้จับสั่น กำเริบขึ้นเมื่อใด เขาก็รีบกินยาอย่างเต็มที่ เพื่อให้หายจากโรคโดยเร็วที่สุด ด้วยวิธีการเช่นนี้ สอ เสถบุตร ทั้งที่ตัวเล็กบอบบางจึงรอดชีวิตจากไข้จับสั่นของเกาะเต่ามาได้ ในระหว่างที่ความตายกำลังคุกคามนักโทษการเมืองบนเกาะเต่าอยู่นั้น หม่อมราชวงศ์นิมิตรมงคล นวรัตน์ และดร.โชติ คุ้มพันธ์ ซึ่งต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตอยู่ในเรือนจำบางขวางในคดีพยายามก่อการกบฏ พ.ศ.2481 ถูกทางการรัฐบาลขณะนั้น เห็นว่าเป็นบุคคลประเภทหัวแข็ง ไม่เข็ดหลาบ อันจะเป็นเสี้ยนหนาม แก่รัฐบาลได้ ทางราชการจึงได้มีคำสั่งเนรเทศบุคคลทั้งสอง ให้มาร่วมความทุกข์ทรมาน และความตายกับนักโทษการเมืองที่เกาะเต่า ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน์ อดีตนายทหารอากาศผู้นี้ท่านผู้อ่านคงจะจำได้ว่า ได้เคยต้องโทษในคดี กบฏบวรเดช พ.ศ.2476 มาแล้ว และได้รับการปลดปล่อยให้พ้นโทษไปในปี พ.ศ.2480 และต่อมา ม.ร.ว.นิมิตรมงคล ก็ถูกจับกุมอีก ถูกฟ้องร้องและต้องคำพิพากษาของศาลพิเศษให้จำคุกตลอดชีวิต ในคดี พยายามก่อการกบฏ พ.ศ.2481 อันเป็นคดีเดียวกันกับร้อยโทเณร ตาละลักษณ์ และนักโทษการเมืองอีก 17 คน ต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิตในเรือนจำบางขวาง ภาพที่ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน์ และดร.โชติ คุ้มพันธ์ ประสพเมื่อแรกไปถึงเกาะเต่านั้น ทำให้เขา ตกใจแทบสิ้นสติ เพราะมันเป็นภาพของเมืองนรกบนโลกมนุษย์อย่างแท้จริง แทบทุกคนผอมจนมีแต่หนัง หุ้มกระดูก หน้าซีดเซียว แววตาแห้งแล้งอิดโรย บางคนนั่งกอดเข่าห่มผ้าตัวสั่นสะท้าน บางคนก็ดิ้นทุรนทุราย ผ้าผ่อนหลุดรุ่ย ปากก็พร่ำเพ้อตะโกนโวยวายด้วยพิษไข้ขึ้นสมอง บางคนก็อาเจียนเปื้อนเปรอะบริเวณที่นอนอยู่ บางคนก็นั่งซึมดวงตาเหม่อลอย บางคนก็นอนขดห่มผ้าตัวสั่นราวกับลูกนก ผู้มาใหม่ทั้งสองสำนึกทันทีว่า ตนถูกส่งเข้ามาอยู่ในแดนแห่งความตายร่วมกับนักโทษการเมืองในคดีกบฏ พ.ศ.2476. ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน์เองในเวลาต่อมาก็เกือบจะสูญสิ้นชีวิตด้วยพิษไข้ขึ้นสมองถ้าหากมิได้รับพระกรุณาอย่างใหญ่หลวงจากหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากรพระองค์ท่านได้ทรงเสียสละอย่างยิ่ง โดยประทานยาฉีดซึ่งมีเหลืออยู่เพียงสองสามหลอดสุดท้ายของพระองค์ เพื่อช่วยชีวิตของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคลไว้ต่อมาไม่นาน หลวงโจมพลล้าน อดีตผู้บังคับการตำรวจจังหวัดเพชรบุรี ผู้มีน้ำใจโอบอ้อมอารีก็มีอาการเพียบหนักเขาพร่ำเพ้อดิ้นทุรนทุรายด้วยพิษไข้จับสั่นขึ้นสมอง และเฝ้าแต่พร่ำรำพันเรียกหาลูกเมียตลอดเวลาจนสิ้นใจไปในตอนพลบค่ำวันหนึ่ง หลังจากนั้นไม่กี่วัน เผื่อน ปุณฑนิก ก็ตายลงโดยกะทันหันเป็น คนที่หก การที่เพื่อนนักโทษการเมืองต้องสูญสิ้นชีวิตไปถึงหกคนในชั่วระยะเวลาเพียงหกสัปดาห์ ทำลายขวัญนักโทษการเมือง ที่เหลืออยู่อย่างยิ่ง เมื่อถึงที่สุดแห่งความคับแค้น คนบางคนก็ทิ้งศักดิ์ศรีของตน ลืมยศถาบรรดาศักดิ์ และเกียรติยศหมดสิ้น เผยให้เห็นถึงแก่นแท้อันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว และรู้จักแต่การรักษาตัวรอดเป็นยอดดีการศึกษาที่ได้รับมาอย่างดี ไม่อาจจะช่วยกล่อมเกลาจิตใจของคนบางคนได้ นักโทษการเมืองบางคนถึงกับยอมลดตัวลงมาประจบประแจงกราบกรานขอความกรุณาต่อผู้คน เพื่อให้ได้มาซึ่ง อภิสิทธิ์และความสะดวกสบายต่างๆ เหนือคนอื่น ด้วยการเป็นสายให้เจ้าหน้าที่คอยสอดแนมความเป็นไปตลอดจนนำเรื่องราวที่เพื่อนนักโทษการเมืองคุยกัน ไปฟ้องเจ้าหน้าที่เพื่อหาความดีความชอบ ซึ่งบางทีก็เป็น เรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้างก่อให้เกิดความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน จนแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่าขึ้น นักโทษการเมืองคนใดหรือหมู่ใดคณะใดวางตัวเฉย ไม่ยอมประจบประแจงหรือให้สินจ้างแก่เจ้าหน้าที่ จึงดูเหมือนว่าเป็น พวกหัวแข็งไม่ยอมอ่อนน้อม ก็ได้รับความบีบคั้นกลั่นแกล้งให้ต้องทำงานหนักยิ่งขึ้น เมื่อเรือเชวงศักดิ์สงคราม ซึ่งเคยเป็นเรือเสบียงเดินระหว่างสุราษฎร์ธานีกับเกาะเต่าต้องหยุดเดิน เพราะขาดน้ำมัน ทางการเรือนจำจึงได้นำเรือไชโยซึ่งต้องใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิงมาเดินแทน นักโทษการเมืองชุดที่ได้ รับคำสั่งให้ไปโค่นต้นไม้ตัดฟืนเตรียมไว้ป้อนเรือไชโยมี สอ เสถบุตร หม่อมหลวงทวีวงศ์ วัชรีวงศ์ ปรุง สุเสวี ประเสริฐ คชมหิทธิ์ และแผ้ว แสงส่งสูง ด้วยเหตุที่ภูมิประเทศส่วนใหญ่ของเกาะเต่าเป็นภูเขา ต้นไม้ใหญ่จึงขึ้น อยู่ตามไหล่เขา เมื่อนักโทษการเมืองช่วยกันโค่นต้นไม้ลงแล้ว ก็ต้องช่วยกันงัดให้ไม้กลิ้งลงมาตามไหล่เขา จนถึงชายทะเล แล้วจึงผ่าออกเป็นดุ้นฟืนขนาดยาวประมาณ 65 ซม. นักโทษการเมืองคณะนี้ จึงได้รับสมญา ว่า “กลุ่มช้าง”.


ครั้นแล้ว ในระหว่างระยะเวลาแห่งความลำบากยากแค้นแสนสาหัสนั้นเอง วันหนึ่งก็ได้มีเครื่องบินลำหนึ่งมาบินทักษิณาวรรตอยู่เหนือเกาะเต่า ขณะที่บินวนอยู่นั้น นักบินก็โบกมือให้นักโทษการเมืองเสมือนจะเป็นสัญญาณบอกกล่าวอะไรสักอย่างหนึ่ง นักโทษการเมืองพากันถกเถียงถึงเรื่องเครื่องบินลำนั้นอยู่เป็นเวลากว่าสามสัปดาห์จึงได้ความจริงที่นักบินใจบุญผู้นั้นได้มาบอกใบ้ให้ทราบความจริงอันนั้นก็คือนักโทษการเมืองได้รับพระราชทาน อภัยโทษ เนื่องจากได้มีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ โดยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม จำต้องลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุที่แพ้คะแนนเสียงในรัฐสภาเรื่องการสร้าง นครเพชรบูรณ์ ให้เป็นเมืองหลวงของประเทศ และสร้างพุทธบุรี ที่จังหวัดสระบุรี นายควง อภัยวงศ์ ได้มาเป็นรัฐมนตรีแทน และคณะรัฐมนตรีใหม่ได้มีมติให้ กราบบังคับทูลขอพระราชทานอภัยโทษแก่นักโทษการเมืองทั้งในคดีกบฏบวรเดช พ.ศ.2476 และคดีกบฏ พ.ศ.2481 ทางการกำหนดให้มีการปลดปล่อยนักโทษการเมืองที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 20 ตุลาคม 2487. ความหวังและกำลังใจก็พลันบังเกิดขึ้นทันทีนักโทษการเมือง ดูเต็มไปด้วยความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า และมีชีวิตชีวาความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ดูจะหายไปราวปลิดทิ้ง บรรดาเจ้าหน้าที่เรือนจำต่างๆ ก็ดูเปลี่ยนท่าทีไปโดยฉับพลันกิริยาท่าทางตลอดจนถ้อยคำพูดจาก็ดูเต็มไปด้วยความเคารพนบนอบ เสียงเรียกขานคุณหลวงคุณพระท่านเจ้าคุณใต้เท้าขอรับกระผมดังอยู่ทั่วไป แทนถ้อยคำเสียดสีเกรี้ยวกราด ผู้คุมบางคนก็ขอฝากเนื้อฝากตัวประจบประแจงท่านนักโทษการเมือง ที่มีหวังว่าจะได้กลับไปเป็นใหญ่เป็นโต.


นักโทษการเมืองได้รับคำสั่งให้เตรียมตัวออกเดินทางจากเกาะเต่าไปยังคุกเมืองสุราษฎร์ธานี เพื่อรอเวลาปลดปล่อยที่นั่นปัญหามีอยู่ว่า เมื่อได้รับการปลดปล่อยแล้วนักโทษการเมืองจะเอาเงินที่ไหน ซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายใหม่แทนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มอันขาดกะรุ่งกะริ่งใกล้สภาพอนาจารของตน นักโทษการเมืองจะเอาเงินที่ไหนหาอาหารรับประทานระหว่างการเดินทาง และจะเอาเงินที่ไหน เป็นค่ารถจากสถานีรถไฟหัวลำโพงไปบ้านของตนมิหนำซ้ำบางคนก็ยังไม่แน่ใจว่าบ้านที่ตนเคยอยู่นั้น จะถูกลูกระเบิดไปหรือเปล่า ที่คุกเมืองสุราษฎร์ธานีผู้คุมได้ทำหน้าที่เป็นคนกลางนำสินค้าซึ่งเป็นของเก่าติดตัวนักโทษการเมือง ไปขายให้แก่ประชาชนด้วยเหตุที่ขณะนั้นเป็นเวลาสงครามเครื่องอุปโภคต่างๆ ขาดแคลน และราคาแพงอย่างยิ่งเมื่อนักโทษการเมืองซึ่งหูหนวกตาบอดต่อภาวะความเป็นไปของโลก ภายนอกขายของในราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อประชาชนจึงพากันหลั่งไหลเบียดเสียดไปซื้อของดีราคาถูกที่ประตูเรือนจำราวกับตลาดนัด ปรุงสุเสวีขายสายสร้อยทอง หนักหนึ่งบาท ไปด้วยราคา 40 บาทก็ดีใจว่าตั้ง 18 บาท เพราะเมื่อซื้อมานั้นซื้อด้วย ราคาเพียง 22 บาท อันที่จริงราคาทองขณะนั้น บาทละ 400 กว่าบาท สอ เสถบุตรและแผ้ว แสงสูงส่ง ขายมุ้งไปในราคาหลังละ 40 บาทส่วนหม่อมเจ้า สิทธิพรกฤดากรทรงขายผ้าห่มสักหลาดอย่างดีใหม่เอี่ยมไปในราคา 80 บาท ก็ดีพระทัยว่าขายได้ราคา แต่พอหนึ่งชั่วโมง ให้หลังจีนเจ้าของร้านตัดเสื้อกางเกงก็วิ่งมาขอซื้ออีกโดยเสนอให้ ราคาถึงผืนละ1,000 บาท แต่พระองค์ท่าน ก็ไม่มีจะขายให้. แล้วในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2487 อันเป็นวันที่นักโทษการเมืองได้รับปลดปล่อยนั้นทั่วทั้งตลาดเมืองสุราษฎร์ธานีขวักไขว่ไปด้วยอดีตนักโทษการเมือง ในสภาพเครื่องแต่งกายอันน่าขันระคนน่าสงสารบางคนสวมเสื้อขาดกะรุ่งกะริ่งบางคนสวมรองเท้าซึ่งเกือบจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นรองเท้า โดยที่พื้นข้างล่างโหว่จนแทบจะรองรับเท้าไว้ไม่ได้ บางคนสวมหมวกซึ่งเป็นรูพรุนไปหมด สมัยนิยมของเครื่องแต่งกายได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงการนุ่งผ้าม่วง หรือนุ่งกางเกงแพร แล้วใส่เสื้อนอกคอปิดกระดุมห้าเม็ดได้หายไปหมดสิ้นจากสมัยนิยม อดีตนักโทษการเมือง ตัดสินใจไม่ถูกว่าตนควรจะซื้อเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่อย่างไรดี ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน์ และขุนศิริโยธิน ได้ไปซื้อกางเกงขาสั้นตัดเย็บด้วยผ้าทอด้วยใยสังเคราะห์ โดยเห็นว่ามีลวดลายสวยเหมือนผ้าสักหลาด และซื้อเสื้อโปโลกับหมวกกันแดดแต่เมื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสร็จแล้ว และเดินฝ่าแสงแดดอันร้อนแรงจะไปขึ้นรถไฟก็เกิดอาการคันไปทั้งตัวจนทนไม่ได้ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย กลับไปสวมชุดนักโทษ ตามเดิม ที่สถานีเพชรบุรี ได้มีประชาชนเป็นจำนวนมากนำข้าวห่อ และขนมหม้อแกงหลายสิบถาดมาเลี้ยงต้อนรับพร้อมกับอวยชัยให้แก่อดีตนักโทษการเมืองทุกคน ในระหว่างทางได้มีเพื่อนผู้อารีคนหนึ่งนำเสื้อนอก แบบสากลมาให้ สอ เสถบุตร สวมใส่ สอ เสถบุตรเล่าว่า เขามีความรู้สึกเคอะเขินชอบกลหลังจากที่มิได้สวมใส่ เสื้อนอกมาเป็นเวลากว่าสิบปี ณ สถานีรถไฟบางกอกน้อย ธนบุรี คุณมานิต วสุวัต เป็นมิตรคนแรกที่รอรับ สอ เสถบุตรอยู่ พร้อมกับ เสนอให้ตำแหน่งผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ “ศรีกรุง” แก่สอ เสถบุตร .

ประวัติ และเรื่องราวของ สอ เสถบุตรโดย เสกสรรค์ มธุลาภรังสรรค์
คนไทยส่วนใหญ่ได้รู้จัก สอ เสถบุตร ในฐานะผู้แต่งพจนานุกรมแต่เพียงอย่างเดียว งานทำพจนานุกรมถือเป็นงานแห่งชีวิตอันยิ่งใหญ่ของท่าน หากแต่ก็มิใช่งานชิ้นเดียวของท่าน สอ เสถบุตร ยังมีชีวิตที่แปลก และน่าศึกษาอีกมากมาย ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่ทราบว่า เขาเป็นวิศวกร โดยการศึกษาเล่าเรียนด้วยทุนคิงสกอล่าชิพ เป็นนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ โดยความพอใจส่วนตัว เป็นเลขาธิการองคมนตรีของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นนักโทษการเมือง ก่อนที่จะเข้ามาเล่นการเมืองจริงๆ เสียอีก ลักษณะเด่นของ สอ เสถบุตร มิได้อยู่ที่ความเจนจัดในแขนงวิชาต่างๆ หากอยู่ที่ความไม่ย่อท้อต่อพรหมลิขิตเมื่อถูกชะตากรรมเล่นงาน มีความสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น และยึดมั่นในอุดมคติอย่างเข้มแข็ง...

บทเริ่มต้นของชีวิต สอ เสถบุตร
สอ เสถบุตร มีชื่อ-สกุลจริงว่า สอ เศรษฐบุตร เกิดวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๖ ถึงแม้จะเกิดในตระกูลเศรษฐบุตร แต่ก็มิได้เติบโตอย่างสุขสบายเนื่องจากบิดามารดาของท่านแต่งงานกันโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย บิดาของท่าน (สวัสดิ์ เศรษฐบุตร) เป็นคนหัวก้าวหน้า และมีความคิดเป็นของตัวเองสูง ไม่ยอมรับราชการตามความประสงค์ของพ่อแม่และสมัยนิยม แต่กลับชอบทำงานอิสระ เช่น ทำงานกับบริษัทพิมพ์ดีดสมิธ พรีเมียร์ (ผลงาน คือ ประดิษฐ์แป้นตัวอักษรเครื่องพิมพ์ดีด) หรือตระเวณฉายหนังเร่ด้วยเรือกลไฟ แต่นายสวัสดิ์ก็มาเสียชีวิตเนื่องจากเป็นไข้ป่าในตอนที่สอมีอายุเพียง ๑๕ ปี ซึ่งก็ทำให้ท่านต้องกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวตั้งแต่นั้นมา หลังจบการศึกษาชั้นมัธยม ๘ ท่านก็สอบได้ทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ โดยเรียนทั้งหลักสูตรธรณีวิทยาและหลักสูตรวิศวกรรมควบคู่กันไป เมื่อจบการศึกษากลับมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ก็เริ่มรับราชการที่กรมโลหะกิจ ต่อมาไม่นานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) ทรงเล็งเห็นถึงความสามารถด้านการเขียนบทความโดยเฉพาะความสามารถในการเขียนได้ดีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จึงได้ขอตัวท่านมาทำงานที่กรมราชเลขาธิการ ท่านทำงานที่นี่ได้อย่างดีเยี่ยม จนได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็นถึงรองเสวกเอก หลวงมหาสิทธิโวหาร ตำแหน่งปลัดกรม กององคมนตรี สังกัดกรมราชเลขาธิการ ในขณะที่มีอายุเพียง ๒๙ ปี การได้ทำงานถวายพระเจ้าอยู่หัว ได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทเป็นประจำ ทำให้ท่านเกิดความซาบซึ้งในพระราชอัธยาศัยอันอ่อนโยนและความหวังดีต่อชาติบ้านเมืองของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ท่านไม่ยอมเข้าร่วมคณะราษฎรเนื่องจากเห็นว่าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองเองมีแผนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการให้ราษฎรมีความรู้ความเข้าใจให้มากกว่านี้ ซึ่งจะทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง อีกทั้งตัว สอ เศรษฐบุตร เองไม่มั่นใจในความจริงใจต่อประเทศชาติของคณะราษฎร (กลุ่มผู้นำของคณะราษฎรส่วนใหญ่ก็เป็นนักเรียนร่วมรุ่นกับท่านที่อังกฤษและฝรั่งเศส ทำให้รู้จักนิสัยใจคอกันดี) การกระทำของท่านทำให้คณะราษฎรไม่พอใจ จนหาเหตุมาจับกุมท่านในข้อหาเป็นกบฏร่วมกับพระองค์เจ้าบวรเดชในเวลาต่อมา

กำเนิดพจนานุกรม สอ เสถบุตร
หลังจากถูกจับกุมในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ถูกคุมขังที่เรือนจำบางขวาง ก่อนจะย้ายไปเกาะตะรุเตา และเกาะเต่า (ใกล้กับเกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี) รวมเวลาทั้งสิ้น ๑๑ ปี ในตอนแรกท่านหวังว่าคณะราษฎรจะยอมโอนอ่อนผ่อนตามสนองพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะพระราชทานอภัยโทษแก่นักโทษการเมือง แต่คณะราษฎรหาได้ทำเช่นนั้นไม่ อีกทั้งยังใช้อำนาจประชาธิปไตยอย่างคณาธิปไตยจนเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประกาศสละราชสมบัติในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ เมื่อความหวังดับวูบลง ท่านก็รู้ตัวว่าคงต้องติดคุกเป็นเวลานานแน่ ท่านจึงคิดถึงการทำหนังสือพจนานุกรมเพื่อหารายได้เลี้ยงมารดาและน้องๆ และนี่จึงเป็นจุดกำเนิดของพจนานุกรมฉบับ สอ เสถบุตร

นักบริหารเวลาตัวยง
สิ่งหนึ่งที่ผมทึ่งในตัว สอ เสถบุตร ก็คือ ท่านเป็นคนที่สามารถทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันได้อย่างน่าทึ่ง เป็นทั้งนักบริหารเวลาและนักบริหารชีวิตตัวยงทีเดียว ตัวอย่างเช่น ในช่วงก่อนจะไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ท่านต้องเตรียมตัวอย่างหนักเพื่อเตรียมสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวง ต้องทำงานพิเศษเป็นครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวด้วย (ซึ่งท่านก็ใช้โอกาสนี้ในการสั่งสมบ่มเพาะความรู้ภาษาอังกฤษไปในตัว) และยังเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ ๑ – ๒ ฉบับ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเวลาเอาใจใส่ครอบครัว และมีเวลาไปดูหนังกับเพื่อนสาวในวันหยุด หรือเมื่อท่านไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ท่านเลือกเรียนในหลักสูตรเกียรตินิยม (ซึ่งต้องทำเกรดให้ได้ในเกณฑ์เกียรตินิยมตลอดหลักสูตร) ท่านก็ยังคงทำงานพิเศษโดยเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ทั้งของประเทศไทยและประเทศอังกฤษ ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เลขาธิการของสามัคคีสมาคม (สมาคมนักเรียนไทยในอังกฤษ) และเป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์สามัคคีสารด้วย และท่านก็ยังคงแบ่งเวลาสำหรับเล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอ ด้วยตระหนักในความสำคัญของการดูแลสุขภาพ เป็นต้น

ความซื่อสัตย์-กตัญญู
ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของ สอ เสถบุตร ก็คือท่านเป็นคนมีความซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์ของตน และเป็นคนที่มีความกตัญญูโดยเฉพาะต่อมารดาเป็นอย่างมาก เมื่อบิดาท่านเสียชีวิตลงสิ่งแรกที่ท่านคิดคือแม่และน้องๆ จะอยู่อย่างไร จนท่านได้พบทางออกที่ทำให้ท่านสามารถทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวและยังคงได้เรียนไปด้วยโดยการรับจ้างสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ แม้ต้องไปเรียนต่อที่อังกฤษในหลักสูตรเกียรตินิยม ท่านก็ยังคงทำงานเสริมโดยการเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ก็เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว และแม้ต้องติดคุกท่านก็ยังคิดเขียนพจนานุกรมเพื่อหาเงินมาเลี้ยงมารดาและส่งเสียน้องๆ เรียนจนจบมหาวิทยาลัย เมื่อครั้งที่ถูกคุมขังอยู่ที่เกาะตะรุเตา ท่านมีโอกาสหนีข้ามไปยังเกาะลังกาวีของประเทศมาเลเซียซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง ๘ กิโลเมตรอยู่หลายครั้ง แต่ท่านก็ไม่หนีไปเนื่องจากเกรงว่าการหนีจะทำให้รัฐบาลสั่งห้ามพิมพ์พจนานุกรม ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายต่อพระยานิพนธ์พจนาถ ซึ่งเป็นผู้ที่ช่วยเหลือท่านโดยการรับจัดพิมพ์จำหน่ายพจนานุกรมและได้ให้เงินค่าจ้างแก่ สอ เสถบุตร (โดยให้แก่มารดา) ล่วงหน้าเป็นเงินหลายหมื่นบาทแล้ว

ชีวิตในบั้นปลาย
หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ท่านได้ตัดสินใจก้าวสู่วงการการเมืองอย่างจริงจังด้วยการสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดธนบุรี ในขณะเดียวกันก็ทำหนังสือพิมพ์ ศรีกรุง และ Liberty ท่านต้องเสี่ยงชีวิตต่อสู้กับอำนาจมืด และการถูกคุกคามขู่เข็ญจากคณะรัฐบาลในสมัยนั้น ในขณะที่ชีวิตการเมืองประสพปัญหา พจนานุกรมของท่านกลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนถึงขั้นขาดตลาด ในที่สุดท่านจึงตัดสินใจยุติเส้นทางการเมือง และหันมาตีพิมพ์จำหน่ายพจนานุกรมอย่างจริงจัง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ขณะมีอายุ ๔๘ ปี ชีวิตในบั้นปลายของท่านมีความสุขกับการทำงานตามสบาย ไปท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นบางครั้ง มีเวลาให้กับครอบครัวซึ่งประกอบด้วยภรรยาและบุตร ๔ คน ธิดา ๕ คนอย่างเต็มที่ จนถึงแก่อนิจกรรมเมื่ออายุได้ ๖๖ ปีเศษ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒