สรุปลักษณะภูมิอากาศประจำปี ชุมพร เกาะเต่า เกาะนางยวน



ลักษณะภูมิอากาศ เส้นทาง ชุมพร เกาะเต่า เกาะนางยวน
จังหวัดชุมพร มีสภาพพื้นที่ค่อนข้างแคบและยาว มีพื้นราบ ภูเขา และชายฝั่ง ทะเล ตั้งอยู่ระหว่างทะเลอันดามันและอ่าวไทย สภาพภูมิอากาศเป็นมรสุมเมืองร้อน อยู่ภายใต้อิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้พื้นที่ของจังหวัดมีอากาศชุ่มชื้นฝนตกชุกเกือบตลอดปี อากาศโดยทั่วไปไม่ร้อนมากในฤดูร้อน และไม่หนาวจัดในฤดูหนาว เมื่อพิจารณาตามสภาพอากาศ สามารถสรุปฤดูกาลของจังหวัดชุมพรได้เป็น 2 ฤดู คือ
ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเปลี่ยนมรสุม หลังมรสุมตะวันออกเฉียงเหนืออ่อนกำลังลง
ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงเดือนมกราคม ทำได้รับอิทธิพลมรสุมและลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่านอ่าวไทยเข้าสู่ภาคใต้ ทำให้มีฝนตกชุกในช่วงปี 2542 – 2547 มีปริมาณน้ำฝนอยู่ในช่วง 1,558 – 2,349 มิลลิเมตร โดยในปี 2543 ฝนตกมากที่สุด วัดได้ 2,349 มิลลิเมตร มีจำวนวันทีฝนตก 186 วัน และมีฝนตกน้อยที่สุดในปี 2547 วัดได้ 1,558 มิลลิเมตร มีฝนตก 165 วัน
ส่วนอุณหภูมิในจังหวัดชุมพร เฉลี่ยประมาร 27.1 องศาเซลเซียส ในช่วงระหว่างปี 2542 – 2547 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 34.3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 21.7 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยสูงสุด 97 เปอร์เซ็นต์ เฉลี่ยต่ำสุด 48 เปอร์เซ็นต์ เฉลี่ย 81 เปอร์เซ็นต์

สมุทรศาสตร์


1) กระแสน้ำ
มวลน้ำที่เคลื่อนตัวไปมาภายในอ่าวไทยนั้น และมีผลกระทบต่อจังหวัดชุมพรจะมาจากมวลของน้ำในทะเลจีน มหาสมุทรแปซิฟิคที่ไหลขึ้น – ลง หรือหมุนเวียนไปตามอิทธิพลของมหาสมุทรในฤดูต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงทิศทางของกระแสน้ำผิวหน้าที่ไหลขนานกับขอบฝั่งทะเลนั้น มักจะเกิดจากการกระทำของลมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ลมมรสุมที่มีอิทธิพลต่อกระแสน้ำในอ่าวไทย จนทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนทิศทางการไหลได้นั้นเป็นลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่มีความรุนแรงไม่สม่ำเสมอกัน แต่ส่วนใหญ่มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังแรงกว่าระยะเวลาที่พัดนานกว่า และมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางในการพัดน้อยกว่ามรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ดังนั้น กระแสน้ำผิวหน้าภายในอ่าวไทย จึงได้รับอิทธิพบจากมรสุมทั้งสองนี้ไม่เท่ากัน และทำให้มวลของน้ำไหลเข้าเหนือไหลออกจากอ่าวไทยด้วยความเร็วไม่สม่ำเสมอกันอีก
กรมควบคุมมลพิษรายงานไว้ว่า โดยทั่วไปกระแสน้ำในบริเวณนี้จะไหลจากทิศเหนือลงมาทางตอนใต้ จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มาจนถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานีไหลผ่านเกาะสมุย หลังจากนั้นจะไหลลงสู่ตอนกลางของอ่าวไทย แต่สำหรับในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมจะมีกระแสน้ำวนในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา ในช่วงชายฝั่งทะเลจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี เกาะสมุยและหมู่เกาะอ่างทอง อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม กระแสน้ำในบริเวณนี้จะไหลขึ้นทางทิศเหนือ ซึ่งยังเป็นที่วิจารณ์กันโดยยังหาข้อสรุปไม่ได้ในปัจจุบัน เนื่องจากความแปรปรวนของลักษณะทางสมุทรศาสตร์ที่เกิดขึ้นได้ทุกปี

2) คลื่น
คลื่นในบริเวณชายฝั่งอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร ได้รับอิทธิพลหลักจากกระแสลม โดยพบว่า ช่วงเวลาที่มีคลื่นแรงที่สุดจะอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ซึ่งได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีกำลังแรงในช่วงนี้ ประกอบกับเป็นช่วงที่มีฝนตกหนัก ส่งผลให้เป็นอุปสรรคในการเดินทางท่องเที่ยวทางทะเลช่วงเวลาที่มีคลื่นแรง รองลงมาได้แก่ ช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากลมตะวันออก ซึ่งมีความแรงลมน้อยกว่าลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้คลื่นมีความแรงไม่มากนัก อีกทั้งช่วงนี้เป็นช่วงฤดูแล้ง ทำให้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเดินทางท่องเที่ยวทางทะเล
ในช่วงรอยต่อระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนลมมรสุม อาจจะส่งผลให้กระแสลมมีความรุนแรง อีกทั้งมีลมตะวันตกเฉียงใต้พัดเข้ามา เนื่องจากจังหวัดชุมพรมีลักษณะเป็นแหลมแคบ ๆ ทำให้ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนลมมรสุมในช่วงเวลาสั้น ๆ ช่วงนี้จึงอาจจะมีคลื่นแรงขึ้นเล็กน้อย
ในช่วงเดือนพฤษภาคม - กันยายน เป็นช่วงที่ภาคใต้ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้กระแสลมพัดออกจากฝั่ง ช่วงเวลานี้จัดเป็นช่วงเวลาที่มีคลื่นไม่แรงมากนักโดยเฉพาะบริเวณชายฝั่ง และกลุ่มเกาะใกล้ชายฝั่ง เนื่องจากจุดกำเนิดคลื่นอยู่ใกล้ฝั่ง อย่างไรก็ตามความแรงของคลื่นจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อออกจากฝั่งมากขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้วช่วงนี้จัดเป็นช่วงเวลาที่คลื่นไม่แรงมากนัก ยกเว้นบางช่วงเวลาที่อาจจะมีกระแสแปรปรวน
อนึ่ง แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีคลื่นไม่แรงมากนัก แต่ก็อาจจะได้รับอิทธิพลจากฝน ในช่วงลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้อยู่บ้างเป็นบางครั้ง

3) การขึ้นลงของน้ำทะเล
การแปรผันของระดับน้ำทะเลจังหวัดชุมพร ย่อมเกี่ยวข้องกับลักษณะอุตุนิยมกล่าวคือ การเปลี่ยนทิศทางของลม หรือความกดอากาศของบริเวณฝั่งนั้นต่ำลง ก็จะทำให้ระดับน้ำขึ้นและลงเต็มที่ของฝั่งนั้นมีค่าสูงขึ้น ส่วนฝั่งที่มีลมพัดออกหรือฝั่งที่มีความกดอากาศสูง ย่อมทำให้ระดับน้ำของฝั่งนั้นมีค่าต่ำ นอกจากนั้นยังมีอาการผันแปรของน้ำตาม ลักษณะภูมิศาสตร์คือ ตำบลที่เป็นทะเลเปิด ย่อมจะมีการผันแปรของน้ำตามฤดูกาลดังกล่าวนั้นน้อย ตำบลที่อยู่ใกล้ปากน้ำจะมีการผันแปรของระดับน้ำตามฤดูกาล ซึ่งขึ้นอยู่กับอิทธิพลของน้ำในแม่น้ำ อันอาจทำให้ระดับน้ำขึ้นลงเต็มที่มากกว่าหรือน้อยกว่าธรรมดาก็ได้
ลักษณะน้ำขึ้นน้ำลงของจังหวัดชุมพร มีลักษณะเป็นน้ำเดี่ยวหรือน้ำช่วงหนึ่งวัน คือ มีการขึ้นลงวันละ 1 ครั้ง โดยมีระดับความแตกต่างเฉลี่ยระหว่างน้ำขึ้นน้ำลงขนาด 1.2 เมตรในช่วงน้ำขึ้นน้ำลงฉับพลัน ช่วงเวลาที่มีความแตกต่างระหว่างน้ำขึ้นน้ำลงมากที่สุด อยู่ในช่วงเดือนธันวาคม โดยมีระดับน้ำขึ้นสูงสุดกับระดับน้ำลงต่ำสุดต่างกันถึง 3.0 เมตร

4) กำลังลม
ค่าเฉลี่ยความเร็วลม (น็อต) ในรอบ 30 ปี ระหว่าง พ.ศ.2513-2543 ของจังหวัดชุมพร ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงธันวาคมอยู่ในช่วง 1.8 – 3.5 น็อต โดยลมมีความเร็วเฉลี่ยสูงสุดในเดือนธันวาคม รองลงมาคือ เดือนสิงหาคม และความเร็วลมเฉลี่ยต่ำสุดพบในเดือนตุลาคม โดยที่ทิศทางลมนั้นมาจาก 3 ทิศทาง ด้วยกันคือ ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายนลมพัดมาจากทิศตะวันออก (E) ส่วนเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ลมจะพัดมาจากทิศตะวันตก (W) และเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ลมจะพัดมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (NE)

5) อุณหภูมิน้ำทะเล
จากข้อมูลการสำรวจสมุทรศาสตร์ของกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ พบว่าอุณหภูมิที่ผิวหน้าน้ำทะเลประมาณ 28.6 องศาเซลเซียส

6) สีและความโปร่งใสของน้ำทะเล
จากข้อมูลการสำรวจสมุทรศาสตร์ของกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ปรากฏว่าในบริเวณใกล้ฝั่งทะเลจะมีตะกอนแขวนลอย เมื่อห่างฝั่งออกไปสีของน้ำทะเลจะเป็นสีน้ำเงินแกมเขียว (Greenish Blue)

7) ลักษณะพื้นท้องทะเล
จากข้อมูลการสำรวจสมุทรศาสตร์ของกรมอุกศาสตร์ กองทัพเรือ พบว่าลักษณะพื้นท้องทะเลโดยทั่วไป มีลักษณะเป็นโคลนและโคลนปนทราย